แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ผู้ตายบุกรุกขึ้นไปบนเรือนจำเลยและเงื้อมีดเข้าไปที่จำเลยนั่งอยู่แม้จะไม่ทราบสาเหตุที่ผู้ตายทำเช่นนั้น แต่ลักษณะท่าทางของผู้ตายที่เงื้อมีดเข้าไปหาจำเลยแสดงว่าผู้ตายเข้าไปจะแทงจำเลยซึ่งเป็นภยันตรายจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงจำเลยจึงเข้าต่อสู้แย่งมีดจากผู้ตายมาได้ และในสถานการณ์เช่นนั้นจำเลยย่อมไม่มีเวลาคิดว่าจะควรใช้มีดนั้นหรือไม่เพียงใด ทั้งในขณะเดียวกันนั้นผู้ตายก็ได้ทำการต่อสู้แย่งมีดคืน อันตรายหาได้หมดไปไม่ จำเลยจึงใช้มีดนั้นแทงผู้ตายไปทันทีรวมสองครั้งในขณะที่มีการต่อสู้กันอยู่ การกระทำของจำเลยเท่าที่ได้ทำไปนั้นเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ จำเลยไม่มีความผิด มีดของกลางเป็นมีดของผู้ตายนำมาใช้ในการกระทำผิดให้ริบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจใช้มีดพกปลายแหลมแทงผู้ตายถูกบริเวณหน้าอกด้านซ้าย 2 แผล โดยมีเจตนาจะฆ่าให้ตาย ผู้ตายทนพิษบาดแผลไม่ได้ถึงแก่ความตายสมเจตนาของจำเลย ต่อมาจำเลยได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน พร้อมกับนำมีดที่จำเลยใช้แทงมอบให้ด้วย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ขอให้ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยได้ใช้มีดของกลางแทงผู้ตายถึงแก่ความตายโดยเจตนา จำเลยจึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุกจำเลยไว้ 7 ปี 6 เดือน ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัว
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ตายได้ขึ้นไปบนเรือนของจำเลยและเงื้อมีดจะแทงจำเลย จำเลยบอกให้ผู้ตายลงจากเรือน ผู้ตายไม่ยอมลงจำเลยเข้าแย่งมีดจากผู้ตายมาได้แล้วใช้มีดนั้นแทงผู้ตายที่หน้าอกด้านซ้าย 2 แผล เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย การที่จำเลยแทงผู้ตายครั้งแรกเป็นการเพียงพอแก่การป้องกันตัวแล้ว แต่จำเลยได้ใช้มีดของกลางแทงผู้ตายเป็นครั้งที่สองอีก เป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69 ให้จำคุกจำเลยไว้ 2 ปี ส่วนมีดของกลางไม่ใช่ของจำเลยและไม่ใช่ทรัพย์สินที่จะต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 ถึง 34 จึงไม่ริบ
โจทก์ฎีกาว่า เมื่อจำเลยแย่งมีดจากผู้ตายได้แล้ว เหตุป้องกันตัวของจำเลยจึงไม่เกิดขึ้น จำเลยแทงผู้ตายถูกที่สำคัญของร่างกาย 2 ครั้ง แสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ผู้ตายบุกรุกขึ้นไปบนเรือนจำเลยและเงื้อมีดเข้าไปที่จำเลยนั่งอยู่ แม้จะไม่ทราบสาเหตุที่ผู้ตายทำเช่นนั้น แต่ลักษณะท่าทางของผู้ตายที่เงื้อมีดเข้าไปหาจำเลยแสดงว่าผู้ตายเข้าไปจะแทงจำเลย ซึ่งเป็นภยันตรายจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงเข้าต่อสู้แย่งมีดจากผู้ตายมาได้และในสถานการณ์เช่นนั้นจำเลยย่อมไม่มีเวลาคิดว่าจะควรใช้มีดนั้นหรือไม่เพียงใด ทั้งในขณะเดียวกันนั้นผู้ตายก็ทำการต่อสู้แย่งมีดคืน อันตรายหาได้หมดไปไม่ จำเลยจึงใช้มีดนั้นแทงผู้ตายไปทันทีรวมสองครั้งถูกที่หน้าอกซ้ายเหนือราวนมในขณะมีการต่อสู้กันอยู่การกระทำของจำเลยเท่าที่ได้กระทำไปนั้นเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ส่วนมีดของกลางเป็นมีดของผู้ตายนำมาใช้ในการกระทำผิดด้วยให้ริบ