คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2264/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองเข้าไปปักเสาขึงลวดหนามและจำเลยที่2ปลูกต้นผลไม้ในที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์จำเลยทั้งสองโต้แย้งสิทธิกันและต่างฟ้องคดีแพ่งอ้างว่าตนมีสิทธิครอบครองโดยเข้าใจว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่2จำเลยทั้งสองจึงไม่มีเจตนาบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา326

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา362,365(2),358,359(4),91,83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา365(2)ประกอบมาตรา362มาตรา359(4),83การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายบทซึ่งแต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากันเห็นสมควรลงโทษตามมาตรา365(2)ประกอบมาตรา362ให้จำคุกคนละ1ปีปรับคนละ3,000บาทไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนเมื่อคำนึงถึงสภาพความผิดเห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกไว้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา56มีกำหนด2ปีไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา29,30
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา359(4),83จำคุก1ปีปรับคนละ3,000บาทไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนเมื่อคำนึงถึงสภาพความผิดเห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกไว้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา56มีกำหนด2ปีไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา29,30ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า”พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค3ว่าในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันตัดฟันต้นผลไม้อันเป็นพืชหรือพืชผลของโจทก์ซึ่งเป็นกสิกรและทำให้อวนตาข่ายของโจทก์เสียหายมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยทั้งสองได้บุกรุกโดยเข้าไปกระทำการใดๆในอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุขหรือไม่โจทก์มีตัวโจทก์และนาง ทิ้งสุขศรี ภริยาโจทก์เป็นพยานเบิกความว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามส.ค.1ซึ่งโจทก์ซื้อมาจากนาง น่วมสุจินโณเมื่อประมาณ18ปีมาแล้วโจทก์ได้เข้าครอบครองปลูกต้นผลไม้ในที่ดินพิพาทเมื่อวันที่10พฤศจิกายน2534เวลาประมาณ9นาฬิกาจำเลยทั้งสองได้เข้าไปปักเสากั้นรั้วตัดฟันต้นผลไม้ในที่ดินพิพาทและวันที่20ธันวาคม2534จำเลยที่2ได้เข้าไปถอนต้นผลไม้ที่โจทก์ปลูกไว้ในที่ดินพิพาทแล้วนำต้นผลไม้ของจำเลยทั้งสองไปปลูกไว้แทนจำเลยทั้งสองมีตัวจำเลยทั้งสองนาย เขตไชยบัณฑิตผู้ใหญ่บ้านท้องที่เกิดเหตุและนาย อั้นสุจินโณเป็นพยานเบิกความว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของจำเลยที่2ได้มาโดยนาย เกลือนโชติธรรม บิดาของจำเลยทั้งสองยกให้ตั้งแต่ปี2517เห็นว่าโจทก์และจำเลยทั้งสองนำสืบพยานโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทโดยโจทก์และจำเลยทั้งสองต่างฟ้องเป็นคดีแพ่งกล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทอีกฝ่ายรุกล้ำขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหายตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่25/2535และคดีแพ่งหมายเลขดำที่62/2535ของศาลชั้นต้นตามเอกสารหมายล.1ถึงล.4ในระหว่างที่โจทก์และจำเลยทั้งสองยังโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทกันอยู่การที่จำเลยทั้งสองเข้าไปปักเสาขึงลวดหนามและจำเลยที่2ปลูกต้นผลไม้ในที่ดินพิพาทโดยเข้าใจว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่2จำเลยทั้งสองจึงไม่มีเจตนาเข้าไปกระทำการใดๆในอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุขจำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา326ศาลอุทธรณ์ภาค3วินิจฉัยมานั้นชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share