คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2258/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

รายงานและคำวินิจฉัยของจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นคณะกรรมการตรวจสอบการใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านของโจทก์ที่เสนอต่อสำนักงานสามัญศึกษาจังหวัด เป็นเพียงความเห็นหรือข้อเท็จจริงที่เสนอไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ยังไม่มีผลเป็นการชี้ขาดหรือบังคับให้โจทก์ต้องปฏิบัติตาม ทั้งจะต้องมีการพิจารณาว่าสมควรจะตั้งกรรมการสอบสวนความผิดของโจทก์หรือไม่อีกชั้นหนึ่ง หากโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม ก็ชอบที่จะดำเนินการโต้แย้งคัดค้านตามระเบียบที่ทางราชการกำหนด กรณียังถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิโดยตรง จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แม้ในเรื่องนี้โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับฟ้องมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ภายหลังโจทก์ขอถอนฟ้องไป ก็หาผูกพันมีผลบังคับให้ศาลต้องรับฟ้องคดีนี้ด้วยไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2539 โจทก์ทำหนังสือสัญญาเช่าบ้านเลขที่ 5257/96 จากนางวิภา ปาแก้ว ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบบ้านเช่าของโจทก์ตรวจสอบแล้วเห็นว่าโจทก์เช่าบ้านอยู่อาศัยจริงและถูกต้อง โจทก์เช่าบ้านดังกล่าวและใช้สิทธิเบิกค่าเช่าตลอดมาจนถึงวันที่ 1 ธันวาคม 2541 โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าและออกจากบ้านเช่าดังกล่าว ต่อมาจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นคณะกรรมการตรวจสอบการใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านของข้าราชการตามคำสั่งของสำนักงานสามัญศึกษาจังหวัดสมุทรปราการได้จงใจกลั่นแกล้งโจทก์โดยร่วมกันทำหนังสือรายงานเท็จว่าโจทก์ไม่ได้เช่าบ้านดังกล่าวและวินิจฉัยว่าโจทก์เบิกค่าเช่าบ้านไม่ถูกต้อง 1. ให้งดเบิก 2. เรียกชดเชยให้คืนเงิน 3. ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย โดยจำเลยทั้งสามไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเพราะโจทก์ยกเลิกการเช่าและงดเบิกค่าเช่าแล้วและจำเลยทั้งสามไม่ออกไปตรวจสอบบ้านดังกล่าว อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเสื่อมเสียเกียรติยศ ชื่อเสียง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามเพิกถอนคำวินิจฉัยการตรวจสอบบ้านเช่าดังกล่าว หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา

ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสามตรวจสอบข้อเท็จจริงและทำความเห็นตามคำสั่งของสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสมุทรปราการ (ที่ถูก สำนักงานสามัญศึกษาจังหวัดสมุทรปราการ)ซึ่งมิใช่เป็นการชี้ขาดและไม่มีผลบังคับให้โจทก์ต้องปฏิบัติตาม หากโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้อง ไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือถูกกลั่นแกล้งอย่างใดโจทก์ก็ชอบที่จะดำเนินการตามระเบียบที่ทางราชการกำหนดไว้ กรณียังไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ โจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้อง ให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามตามฟ้องเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า รายงานและคำวินิจฉัยของจำเลยทั้งสามที่เสนอต่อสำนักงานสามัญศึกษาจังหวัดสมุทรปราการ เป็นเพียงความเห็นหรือข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งสามเสนอไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายยังไม่มีผลเป็นการชี้ขาดหรือบังคับให้โจทก์ต้องปฏิบัติตาม ทั้งจะต้องมีการพิจารณาว่าสมควรจะตั้งกรรมการสอบสวนความผิดของโจทก์หรือไม่อีกชั้นหนึ่ง หากโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรมอย่างไรก็ชอบที่จะดำเนินการโต้แย้งคัดค้านตามระเบียบที่ทางราชการกำหนดไว้กรณียังถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิโดยตรง แม้ในเรื่องนี้โจทก์จะเคยฟ้องจำเลยทั้งสามและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับฟ้องมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ภายหลังโจทก์ขอถอนฟ้องไปตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2323/2542 ของศาลชั้นต้น ก็หาผูกพันมีผลบังคับให้ศาลต้องรับฟ้องคดีนี้ด้วยไม่ หากเห็นว่าตามคำฟ้องยังไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ เพราะแม้แต่ในคดีเดิมของโจทก์ที่ศาลรับฟ้องไว้แล้วถ้าต่อมาศาลเห็นว่าตามคำฟ้องยังไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ศาลก็มีอำนาจที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมที่รับฟ้องเป็นไม่รับฟ้องได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share