แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางเดินซึ่งเป็นภารจำยอมและได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามชั่วคราว คือให้จำเลยเปิดทางเดินในระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดนั้นถือว่าเป็นคำขอฝ่ายเดียว กฎหมายไม่บังคับว่าต้องให้โอกาสคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งคัดค้านก่อนจึงอยู่ในอำนาจหรือดุลพินิจของศาลที่จะฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนก็ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องพร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ห้ามชั่วคราว ไม่ให้จำเลยปิดกั้นทางเดินในที่ดินของจำเลย ซึ่งโจทก์เคยใช้เดินจากบ้านโจทก์ไปสวนของโจทก์มาช้านานจนได้สิทธิภารจำยอมเหนือที่ดินจำเลย
ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานโจทก์ฝ่ายเดียวและตรวจที่พิพาทแล้วเห็นว่าคำร้องของโจทก์มีเหตุผลเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองตามที่ขอมาใช้ได้จึงมีคำสั่งให้จำเลยรื้อลวดหนามพอที่จะให้โจทก์เดินขึ้นลงประตูหลังบ้านได้ ส่วนประตูที่จำเลยปิดกั้นทางเดินนั้นไม่จำต้องรื้อ แต่ให้เปิดไว้เพื่อให้โจทก์เดินเข้าออกได้ ให้จำเลยจัดการภายใน 7 วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำขอของโจทก์เป็นคำขอฝ่ายเดียว ศาลจึงมิจำต้องส่งสำเนาคำขอให้แก่จำเลย เพราะเมื่อศาลสั่งห้ามไปแล้ว จำเลยก็อาจขอให้ศาลถอนคำสั่งได้ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาได้พิจารณาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254,21(2) และมาตรา 25 เห็นว่า ตามบทกฎหมายดังกล่าวนั้น จะเห็นได้ว่าในกรณีที่โจทก์ร้องขอมานี้เป็นคำขอฝ่ายเดียว กฎหมายไม่บังคับว่าต้องให้โอกาสคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมีโอกาสคัดค้านก่อน และตามมาตรา 25 ก็บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งโดยไม่ชักช้า แต่อย่างไรก็ดี กฎหมายให้อยู่ในอำนาจหรือดุลพินิจของศาลที่จะฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนก็ได้ส่วนมาตรา 256 นั้น เห็นว่าเป็นบทบัญญัติในการส่งสำเนาคำขอให้แก่จำเลย ในเมื่อศาลได้ใช้ดุลพินิจเห็นสมควรที่จะฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 21(3) แล้ว
พิพากษายืน