คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2246/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บทบัญญัติเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสองบัญญัติเพื่อให้มีผลบังคับสำหรับกรณีที่จะมีการฟ้องคดีแพ่งตามมาภายหลังที่ได้พิจารณาพิพากษาคดีอาญาเด็ดขาดไปแล้วดังที่บัญญัติไว้ในวรรคสามและสี่รวมทั้งกรณีที่ได้มีการฟ้องคดีแพ่งเข้ามาในระหว่างพิจารณาคดีอาญาด้วย
ก่อนฟ้องคดีแพ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีอาญาหาว่ายักยอกทรัพย์ และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ศาลพิพากษายกฟ้องคดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้วกรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสี่ คือสิทธิของโจทก์ในอันที่จะฟ้องคดีแพ่งสำหรับจำเลยที่ 2 ย่อมมีอายุความตามหลักทั่วไปในเรื่องอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ในคดีอาญาศาลฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมยักยอกทรัพย์ของโจทก์ด้วย ดังนั้นเมื่อโจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีแพ่งขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย กรณีจึงต้องนับอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรกซึ่งบัญญัติให้ฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2519 มีอำนาจหน้าที่ดำเนินงานด้านธุรกิจอันเกี่ยวกับกิจการไปรษณีย์ และโทรคมนาคมและธุรกิจอื่นที่ต่อเนื่องใกล้เคียงกันหรือซึ่งเป็นประโยชน์แก่กิจการไปรษณีย์ และโทรคมนาคมโดยรับโอนบรรดากิจการทรัพย์สิน หนี้ ข้าราชการ และลูกจ้างของกรมไปรษณีย์โทรเลข ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2520 เป็นต้นไป เมื่อระหว่างวันที่ 8 ตุลาคม 2519 ถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2520 จำเลยที่ 1 รับราชการตำแหน่งนายไปรษณีย์โทรเลขตรีหัวหน้าที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน จำเลยที่ 2 รับราชการตำแหน่งพนักงานไปรษณีย์โทรเลขของที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขอำเภอทุ่งช้างจังหวัดน่าน และเป็นกรรมการบัญชี บ. 26 ด้วย จำเลยทั้งสองได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการรักษากุญแจห้องนิรภัยและตู้เซฟนิรภัยของที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน มีหน้าที่และรับผิดชอบร่วมกันเกี่ยวกับการจัดทำ จัดการควบคุม ครอบครอง ดูแลรักษาสมุดบัญชีและทรัพย์สินของที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข อำเภอทุ่งช้าง ซึ่งได้มาและจ่ายไปเป็นประจำวันและเก็บรักษาไว้ในตู้เซฟนิรภัย และจำเลยทั้งสองยังมีหน้าที่รับผิดชอบร่วมกันในการตรวจสอบ จัดทำบัญชีเงินสดและทรัพย์สินของทางราชการให้ตรงกับเงินสดและทรัพย์สินที่เก็บรักษาไว้ในตู้เซฟนิรภัยดังกล่าวพร้อมหน้ากันเป็นประจำวัน แล้วใส่กุญแจประตูตู้เซฟนิรภัยประจำตัวของแต่ละคนให้ครบถ้วนและต้องคาดเชือกผูกป้ายประทับตรา และตรวจตราประจำตัวของกรรมการรักษากุญแจทุกคนที่ประทับไว้ให้เรียบร้อยและจำเลยทั้งสองต้องใส่กุญแจห้องเก็บตู้เซฟนิรภัยให้ครบถ้วนพร้อมหน้ากันด้วย เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์2520 จำเลยทั้งสองร่วมกันทำบัญชีแสดงจำนวนเงินสดและทรัพย์สินประจำวันตามแบบ บ.26 แสดงยอดจำนวนเงินสดและทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เก็บไว้ในตู้เซฟนิรภัยว่ามีเงินสดอยู่รวม 40,669 บาท 04 สตางค์ ตราไปรษณียากรรวม 4,008 บาท อากรแสตมป์ รวม 344 บาท ตั๋วแลกเงินไปรษณีย์ รวม 4,322 บาท วิมัยบัตร 5 ฉบับ รวมราคา 40 บาท และได้ผ่านการตรวจสอบจากจำเลยทั้งสองแล้วว่าเงินสดและทรัพย์สินดังกล่าวมีอยู่จริง แต่จำเลยทั้งสองมิได้ปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วนถูกต้องตามระเบียบคำสั่ง กล่าวคือ เมื่อจำเลยทั้งสองร่วมกันจัดทำบัญชีแบบ บ.26 เสร็จแล้ว จำเลยที่ 2 ได้ละเลยปล่อยให้จำเลยที่ 1 ตรวจนับเงินสดและทรัพย์สินต่าง ๆ แล้วนำเข้าเก็บในตู้เซฟนิรภัยเพียงลำพังคนเดียวและจำเลยที่ 2 ยังปล่อยให้ลูกกุญแจประจำตัวของตนคาไว้ที่รูกุญแจตู้เซฟนิรภัยแล้วออกไปนอกห้องนิรภัย และเมื่อกลับเข้าไปจำเลยทั้งสองก็มิได้ตรวจนับเงินสดและทรัพย์สินต่าง ๆ พร้อมหน้ากัน เมื่อปิดประตูตู้เซฟนิรภัยจำเลยที่ 2 ก็มิได้ตรวจว่าจำเลยที่ 1 ได้ใส่กุญแจประจำตัวจำเลยที่ 1 หรือไม่ และจำเลยทั้งสองได้ละเว้นไม่คาดเชือกผูกป้ายประทับตราดินน้ำมันหรือครั่งหรือขี้ผึ้งที่ตู้เซฟนิรภัย ทั้งจำเลยที่ 2 ยังละเลยไม่ใส่กุญแจประตูห้องนิรภัยดอกประจำตัวของจำเลยที่ 2 คงปล่อยให้จำเลยที่ 1 ใส่กุญแจประตูห้องนิรภัยด้วยกุญแจของตนเพียงคนเดียว ส่วนจำเลยที่ 1 เมื่อตรวจนับเงินและทรัพย์สินของโจทก์ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2520 และทำบัญชี บ.26 ร่วมกับจำเลยที่ 2 แล้ว ก็ได้จัดการนำเงินสดและทรัพย์สินของโจทก์เข้าเก็บในตู้เซฟนิรภัยเพียงคนเดียวโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อฝ่าฝืนระเบียบคำสั่งโดยทุจริต เปิดโอกาสให้มีการยักยอกเอาเงินสดและทรัพย์สินของโจทก์ไปคือเงินสด 40,328 บาท 79 สตางค์ ดวงตราไปรษณียากร 1,548 บาท 55 สตางค์ อากรแสตมป์ 57 บาท 80 สตางค์ วิมัยบัตร 5 ฉบับ เป็นเงิน 40 บาท รวมเป็นเงิน 40,975 บาท 14 สตางค์ ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 2 รู้เห็นเป็นใจด้วย ซึ่งจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชอบชดใช้เงินที่โจทก์ได้รับความเสียหายดังกล่าว โจทก์รู้ถึงการละเมิดของจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2520 ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินค่าเสียหายแก่โจทก์ 40,975 บาท 14 สตางค์พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 2 ให้การว่า มิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อฝ่าฝืนคำสั่งและระเบียบการเก็บรักษา การตรวจนับและการเก็บเงินสดและทรัพย์สินต่าง ๆ ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2520 เมื่อเลิกงานปิดบัญชีการเงินประจำวันแล้ว จำเลยที่ 2 ได้จัดทำบัญชีทรัพย์สินประจำวันตามแบบ บ.26 ปรากฏว่า มีเงินสดอยู่ 40,669 บาท 04 สตางค์ ตราไปรษณียากรรวม 344 บาท ตั๋วแลกเงินไปรษณีย์รวม 4,322 บาท วิมัยบัตร 5 ฉบับ ราคา 40 บาท จำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ตรวจนับเงินสดและทรัพย์สินครบถ้วนถูกต้องกับบัญชีแล้ว จำเลยที่ 2 จึงไปเข้าห้องน้ำ เมื่อออกจากห้องน้ำก็ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ปิดประตูตู้เซฟใส่กุญแจพร้อมกับปิดประตูด้านนอกใส่กุญแจแล้วคล้องเชือกกับตู้เซฟ ตีตราครั่งโดยใช้ดินน้ำมันแทน และประทับตราประจำตัวของจำเลยทั้งสองอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยถูกต้องทุกประการ โจทก์ทราบเรื่องการละเมิดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์หรือเดือนมีนาคม 2520 คดีจึงขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหาย 41,975.14 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้องเพราะคดีขาดอายุความ

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 2

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บทบัญญัติเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสอง บัญญัติเพื่อให้มีผลบังคับสำหรับกรณีที่จะมีการฟ้องคดีแพ่งตามมาภายหลังที่ได้พิจารณาพิพากษาคดีอาญาเด็ดขาดไปแล้วดังที่บัญญัติไว้ในวรรคสามและสี่รวมทั้งกรณีที่ได้มีการฟ้องคดีแพ่งเข้ามาในระหว่างพิจารณาคดีอาญาอย่างคดีนี้ด้วย ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ก่อนฟ้องคดีแพ่งนี้ พนักงานอัยการฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีอาญาหาว่ายักยอกทรัพย์และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ แต่ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว กรณีจึงต้องตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสี่คือสิทธิของโจทก์ในอันที่จะฟ้องคดีแพ่ง สำหรับจำเลยที่ 2 ย่อมมีอายุความตามหลักทั่วไปในเรื่องอายุความแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในคดีอาญาที่จำเลยที่ 2 ถูกฟ้องนั้น ปรากฏว่าศาลฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 เป็นเพียงปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมยักยอกทรัพย์ของโจทก์ ดังนั้นเมื่อโจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีแพ่งขอให้ใช้ค่าเสียหายกรณีจึงต้องนับอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก ซึ่งบัญญัติให้ฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ฟ้องคดีแพ่งนี้เกิน 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์แล้ว คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 จึงขาดอายุความ

พิพากษายืน

Share