คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2850/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อที่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ หรือต่อสู้ไว้แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นและจำเลยมิได้คัดค้าน นั้น เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดฐานะเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนขับรถยนต์โดยประมาททำให้โจทก์เสียหาย ถึงแม้ในทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนขับก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 1 พ้นฐานะจากการเป็นผู้ครอบครองรถ เพียงแต่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถอีกฐานหนึ่งด้วยเท่านั้น กรณีไม่ใช่เรื่องโจทก์นำสืบไม่สมฟ้องจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหาย
การกล่าวในอุทธรณ์เพียงว่า ค่าเสียหายที่โจทก์นำสืบและศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาสูงเกินไป โดยมิได้กล่าวรายละเอียดให้ชัดแจ้งว่า ค่าเสียหายรายการใดที่สูงเกินไปเพราะเหตุใด เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.ร-๑๘๐๐ โดยมีโจทก์ที่ ๒ เป็นคนขับและโจทก์ที่ ๓ นั่งไปด้วยในขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ณ-๐๓๐๘ โดยจำเลยที่ ๒ ขับรถคันดังกล่าวในขณะเกิดเหตุโดยประมาทเป็นเหตุให้ส่วนท้ายของรถจำเลยที่ ๑ เฉี่ยวรถของโจทก์ที่ ๑ รถของโจทก์ที่ ๑ ชนรายสะพาน รถโจทก์ที่ ๑ เสียหายใช้การไม่ได้ โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ได้รับบาดเจ็บ ความเสียหายของโจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๗๘,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๑๙๔,๐๕๘ บาท โจทก์ที่ ๓ เป็นเงิน ๑๙,๕๐๖ บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามพร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันทำละเมิด
จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่า รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ณ-๐๓๐๘ ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ แต่เป็นของมารดาจำเลยที่ ๑ เหตุชนกันเกิดจากความประมาทของโจทก์ที่ ๒ ฝ่ายเดียว โจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๓๒,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๑๖๑,๗๗๗ บาท และโจทก์ที่ ๓ เป็นเงิน ๑๖,๗๓๑ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ทำละเมิด ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสามโดยกำหนดค่าทนายให้โจทก์ทั้งสามรายละ ๑,๐๐๐ บาท ยกฟ้องโจทก์เฉพาะคดีที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า
ปัญหาข้อแรกที่ว่าเหตุเกิดเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๑๙ โจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๒๐ คดีโจทก์จึงขาดอายุความนั้น เห็นว่าปัญหาดังกล่าวจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้และปัญหาที่ว่ารถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ณ-๐๓๐๘ มิใช่กรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ นั้น แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ไว้ แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นและจำเลยที่ ๑ นั้น แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ไว้ แต่ศาลชั้นต้นมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๗ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเหตุที่รถชนกันเป็นเพราะความประมาทของจำเลยที่ ๑
ปัญหาที่ว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๒ ขับรถจำเลยที่ ๑ โดยประมาทเป็นเหตุให้รถยนต์ชนกันและโจทก์ได้รับความเสียหาย แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขับ ถือได้ว่าโจทก์นำสืบไม่สมฟ้อง จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายนั้นเห็นว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๑ ร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในฐานะที่จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์คันที่เกิดเหตุซึงประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗ วรรคแรกบัญญัติว่า “บุคคลใดครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอย่างใดๆ อันเป็นด้วยคำสั่งเครื่องจักรกล บุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแก่ยานพาหนะนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง” เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่าจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของรถคันดังกล่าวและนั่งไปด้วยในขณะเกิดเหตุ ถือว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ครอบครองรถ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏในชั้นพิจารณาว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขับรถคันดังกล่าวด้วยก็ไม่ทำให้จำเลยที่ ๑ พ้นฐานะจากการเป็นผู้ครอบครองรถ เพียงแต่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขับรถอีกฐานะหนึ่งด้วยเท่านั้น กรณีมิใช่เรื่องโจทก์นำสืบไม่สมฟ้อง
ส่วนเรื่องค่าเสียหายจำเลยอุทธรณ์เพียงว่า ค่าเสียหายที่โจทก์นำสืบและศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาสูงเกินไป โดยมิได้กล่าวรายละเอียดให้แจ้งชัดว่า ค่าเสียหายรายการใดสูงเกินไปเพราะเหตุใด เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share