แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาแบ่งทรัพย์สินตามบัญชีท้ายฟ้องให้ พ.กับส. คนละส่วนเท่าๆ กัน เป็นเงิน 37,935 บาทถ้าไม่สามารถแบ่งเป็นเงินได้. ขอให้ศาลขายทอดตลาดแบ่งเงินให้ พ.กับส. คนละส่วนเท่าๆ กัน เป็นเงินคนละ 37,935 บาท ให้จำเลยเสียดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ ศาลพิพากษาให้ พ.กับส. และจำเลยแบ่งทรัพย์สินระหว่างกันเองก่อน เมื่อไม่สามารถแบ่งได้ ให้ประมูลระหว่างกันเอง ถ้าไม่ตกลงกัน ให้นำทรัพย์ออกขายทอดตลาดได้เงินสุทธิเท่าใด ให้แบ่งกันตามส่วน ไม่เป็นการตัดสินนอกคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง เมื่อจำเลยอุทธรณ์ จำเลยก็เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในวิธีแบ่งทรัพย์เช่นนี้ คำขอท้ายฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยก็ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแบ่งทรัพย์โดยวิธีนี้ จำเลยจะอ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งเช่นนี้ไม่ชอบไม่ได้
ภาพถ่ายที่เป็นภาพจำลองวัตถุ ไม่ใช่พยานเอกสาร อันจะต้องส่งสำเนาให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนวันสืบพยานดังบังคับไว้ในมาตรา 90 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณ พ.ศ. 2456 จ่าสิบเอกบุญมี สุนทรพันธ์ได้สมรสกับจำเลยโดยต่างไม่มีสินเดิม มีบุตรด้วยกัน 5 คน มีสินสมรสตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง ต่อมาจ่าสิบเอกบุญมีถึงแก่กรรม โดยมิได้ทำพินัยกรรม มีมรดกคิดเป็นเงิน 227,610 บาท จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกไม่ยอมแบ่งปันมรดกให้แก่นางพิศและสิบโทสุนทรผู้เป็นทายาท นางพิศกับสิบโทสุนทรจึงร้องขอให้พนักงานอัยการดำเนินคดีนี้ ขอให้ศาลพิพากษาแบ่งทรัพย์สินตามบัญชีท้ายฟ้องให้นางพิศศวิตชาติ และสิบโทสุนทร สุนทรพันธ์ คนละส่วนเท่า ๆ กัน เป็นเงิน37,935 บาท ถ้าไม่สามารถแบ่งเป็นเงินได้ขอให้ศาลขายทอดตลาดแบ่งเงินให้นางพิศกับสิบโทสุนทรคนละส่วนเท่า ๆ กันเป็นเงินคนละ 37,935 บาท ให้จำเลยเสียดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยได้รวบรวมทรัพย์มรดกมีราคารวม 108,516 บาท ไม่ใช่มีราคาตามฟ้อง จำเลยได้จ่ายเป็นค่าทำศพผู้ตายเป็นเงิน 47,625 บาท หักค่าทำศพแล้วคงเหลือเงินในกองมรดก 24,719 บาท ตกได้แก่จำเลยและบุตร 5 คน คนละส่วน เป็นเงิน 4,119.80 บาท จำเลยได้แบ่งให้ลูก ๆ ของจำเลยไปแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เมื่อแบ่งสินสมรสตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องให้จำเลยหนึ่งส่วน ให้จ่าสิบเอกบุญมีได้สองส่วนแล้ว ให้หักทรัพย์สินอันเป็นส่วนของจ่าสิบเอกบุญมีเจ้ามรดกเป็นค่าใช้จ่ายในการทำศพเจ้ามรดก 23,725 บาท เหลือจากนั้นให้แบ่งเป็นหกส่วน ให้นางพิศ ศวิตชาติ ได้หนึ่งส่วน สิบโทสุนทร สุนทรพันธ์ ได้หนึ่งส่วน การแบ่งให้กระทำโดยเอาทรัพย์ดังกล่าวออกแบ่ง ถ้าไม่ตกลงกันให้ประมูลราคาระหว่างจำเลยกับนางพิศ ศวิตชาติ และสิบโทสุนทร สุนทรพันธ์หากไม่อาจทำได้ ให้เอาทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาด แล้วแบ่งเงินสุทธิที่ได้จากการขายทอดตลาดตามส่วน คำขออื่นของโจทก์ให้ยก
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลอุทธรณ์พิพากษานอกคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคแรก นั้นศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องโจทก์ โจทก์มุ่งประสงค์ให้ศาลพิพากษาแบ่งทรัพย์สินตามบัญชีท้ายฟ้องให้นางพิศ ศวิตชาติ และสิบโทสุนทร สุนทรพันธ์ คนละส่วน เป็นประการสำคัญ ส่วนการจะได้ส่วนแบ่งเป็นเงินหรือทรัพย์สิน และแบ่งโดยวิธีใดนั้น โจทก์ก็ได้ขอมาหลายประการตามคำขอท้ายฟ้อง ซึ่งศาลย่อมมีอำนาจที่จะแบ่งให้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 อยู่แล้ว การที่โจทก์คิดราคาส่วนแบ่งเป็นเงินมาด้วยก็เพื่อความสะดวกในการคำนวณส่วนได้ของนางพิศ ศวิตชาติ และสิบโทสุนทร สุนทรพันธ์ เพื่อเสียค่าขึ้นศาล และเพื่อสะดวกแก่การคำนวณดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องมาด้วยเท่านั้น มิใช่เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยชำระหนี้เป็นจำนวนเงินดังกล่าวแต่ประการเดียวดังที่จำเลยฎีกา ฉะนั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้นางพิศ ศวิตชาติ และสิบโทสุนทร สุนทรพันธ์ กับจำเลยแบ่งทรัพย์สินระหว่างกันเองก่อน เมื่อไม่สามารถแบ่งได้ ให้ประมูลระหว่างกันเอง ถ้าไม่ตกลง ให้นำทรัพย์ออกขายทอดตลาดได้เงินสุทธิเท่าใด ให้แบ่งกันตามส่วน จึงเป็นการชอบแล้ว หาเป็นการตัดสินนอกคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องไม่ ตามนัยฎีกาที่ 5/2496 ระหว่างนายเนียม พรมพากล โจทก์ นางเคลือบ โอษฐธนู กับพวก จำเลย เมื่อจำเลยอุทธรณ์ จำเลยก็เห็นพ้องกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นในวิธีแบ่งทรัพย์เช่นนี้ คำขอท้ายฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยก็ขอให้ศาลอุทธรณ์แบ่งทรัพย์โดยวิธีนี้ จำเลยจะอ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งเช่นนี้ไม่ชอบได้อย่างไร
จำเลยฎีกาประการสุดท้ายว่า ภาพถ่ายหมาย จ.1 ถึง จ.3เป็นเอกสารที่โจทก์จะต้องส่งสำเนาให้จำเลยก่อน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 ศาลฎีกาเห็นว่าภาพถ่ายที่โจทก์อ้างเป็นภาพจำลองวัตถุ ไม่ใช่พยานเอกสาร อันจะต้องส่งสำเนาให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนวันสืบพยาน โจทก์ผู้อ้างไม่ต้องส่งสำเนาให้แก่จำเลยก่อนวันสืบพยาน
พิพากษายืน