คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5018/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

รถตัดและเครื่องชั่งที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดนั้นจำเลยใช้ในการประกอบกิจการอุตสาหกรรมของจำเลยซึ่งทำรายได้ประจำปีเพียงพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษา จึงสมควรตั้งผู้จัดการทรัพย์ในการประกอบกิจการแทนการสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 307

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยยอมชำระหนี้ 600,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ โดยวิธีผ่อนชำระเป็นงวด หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมดให้บังคับคดีได้ ต่อมาจำเลยผิดนัด โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยหลายรายการ รวมทั้งรถตักยี่ห้อโคมัสสุหมายเลขเครื่อง บี 248 หมายเลขตัวถัง 136-105 และเครื่องชั่งหมายเลข 24214 2010025 เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
จำเลยยื่นคำร้องว่า ขอให้มีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 307
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ได้ความตามที่จำเลยผู้ร้องขอจัดการทรัพย์นำสืบและโจทก์หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้นำสืบแก้ว่าจำเลยได้ใช้รถตักและเครื่องชั่งที่โจทก์นำยึดเพื่อขายทอดตลาดประกอบกิจการผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งจำเลยได้ให้นางสาวชม้อยทรายสถิตย์ น้องสาวของจำเลยเป็นผู้ประกอบกิจการ มีรายได้เดือนละ150,000 บาท และสามารถชำระหนี้แก่โจทก์ได้อย่างน้อยเดือนละ5,000 บาท คดีมีปัญหาว่า สมควรตั้งผู้จัดการทรัพย์หรือการประกอบกิจการตามที่จำเลยร้องขอแทนการสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 307 บัญญัติให้อำนาจศาลในการมีคำสั่งในกรณีดังกล่าวซึ่งมุ่งที่จะคุ้มครองลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้มีโอกาสชำระหนี้โดยไม่จำต้องขายทรัพย์สินอันสามารถทำรายได้ให้แก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาไปคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเงิน 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14 ต่อปีในต้นเงิน 530,000 บาท โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือน และได้ความจากการนำสืบของจำเลยว่า ระหว่างถูกยึดทรัพย์จำเลยได้ผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์แล้วรวม 100,000 บาทเศษ จึงน่าเชื่อว่ารายได้จากการประกอบการอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของจำเลยอาจเพียงพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้ตั้งผู้จัดการทรัพย์ในการประกอบกิจการแทนการสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 307 ดังกล่าวแล้วที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนให้ยกคำร้องของจำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการทรัพย์ที่ยึดตามคำร้องเพื่อดำเนินกิจการแทนการขายทอดตลาด โดยให้จำเลยมอบเงินรายได้ไม่น้อยกว่าเดือนละ 100,000 บาท ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี หากจำเลยไม่ส่งมอบเงินรายได้ดังกล่าวภายในกำหนดแต่ละเดือนก็ให้ดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดดังกล่าวต่อไป”

Share