คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2232/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำเบิกความของพยานโจทก์มีข้อเท็จจริงสอดคล้องต้องกันโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการตรวจค้นพบของกลางในคดีประกอบกับเจ้าหน้าที่ของสำนักคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) เข้าทำการจับกุมและตรวจค้นกระเป๋าในทันทีที่ส่งมอบซึ่งพบเฮโรอีนของกลางบรรจุอยู่ในกระเป๋า พยานโจทก์ล้วนเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับการสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดต่อ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะทำให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความให้เป็นผลร้ายหรือปรักปรำจำเลย และไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นการสร้างเรื่องเชื่อมโยงบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อเอาผิดแก่จำเลย หรือเพื่อเอาผลงานการจับกุม แม้จะเบิกความแตกต่างและขัดแย้งกันบ้างเกี่ยวกับจำนวนผู้ที่เข้าจับกุม การซุ่มดูเหตุการณ์ก่อนเข้าทำการจับกุม จุดที่มีการส่งมอบของกลางตลอดจนการนำตัวจำเลยไปที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ก็ตาม แต่ข้อแตกต่างดังกล่าวล้วนเป็นเพียงพลความหาใช่เป็นสาระสำคัญอันจะทำให้น้ำหนักในการรับฟังพยานโจทก์ลดน้อยลงไปจนไม่อาจรับฟังได้ว่ามีเหตุเกิดขึ้นจริงดังที่พยานโจทก์เบิกความไม่ และเมื่อพิจารณาแผนที่เกิดเหตุภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุประกอบการเดินเผชิญสืบ เมื่อฟังประกอบพยานบุคคลของโจทก์แล้ว ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น หาใช่ผู้จับกุมทำงานเพียงเพื่อผลงานการจับกุม และจับกุมจำเลยจากสถานที่หนึ่งแล้วนำมาผูกเรื่องเชื่อมโยงกับการจับกุมพวกของจำเลยดังที่จำเลยฎีกาไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันมีเฮโรอีนจำนวน 80 หลอดน้ำหนักรวม 87 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 83,33 และสั่งริบของกลางทั้งหมด
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาสืบพยานฝ่ายจำเลย จำเลยที่ 2 และที่ 3หลบหนี ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับ และจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 และที่ 3
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15, 66 วรรคหนึ่ง,106 (ที่ถูกคือมาตรา 102) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 จำคุก 40 ปีริบของกลาง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1ว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่ ก่อนวันเกิดเหตุนายนิติพัฒน์สืบทราบจากสายลับว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3จะนำเฮโรอีนไปส่งมอบให้กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนักค้ายาเสพติดในเขตคลองเตยมีบริเวณบันไดขึ้นแฟลตที่ 9 ถนนอาจณรงค์แขวงคลองเตย โดยใช้รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าสีแดง รุ่นสตาร์เล็ทเป็นยานพาหนะนายนิติพัฒน์จึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ทราบและร่วมกันเดินทางไปทำการจับกุมนายนิติพัฒน์เห็นจำเลยที่ 1 มายืนอยู่บริเวณด้านนอกของบันไดทางขึ้นแฟลตที่ 9 ประมาณ 10 นาทีก็มีรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าสีแดง รุ่นสตาร์เล็ท มาจอดที่หน้ารถคันของนายสมศักดิ์ ซึ่งจอดอยู่ใต้แฟลตที่ 9 แล้วจำเลยที่ 3 ซึ่งสะพายกระเป๋าสีน้ำตาลลงมาจากรถเดินเข้าไปคุยกับจำเลยที่ 1ส่วนจำเลยที่ 2 ลงมาจากรถแล้วไปยืนอยู่ที่หน้ารถยนต์คันดังกล่าวจำเลยที่ 3 พูดคุยกับจำเลยที่ 1 ครู่หนึ่งแล้วจำเลยที่ 3 ส่งกระเป๋าที่สะพายอยู่ให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เปิดกระเป๋าใช้มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าดังกล่าว นายนิติพัฒน์กับพวกจึงเข้าทำการจับกุมจำเลยทั้งสาม ตรวจค้นกระเป๋าดังกล่าว พบห่อกระดาษจำนวน 16 ห่อแกะห่อกระดาษออกปรากฏว่ามีวัตถุผงสีขาวบรรจุอยู่ในหลอดพลาสติกเบอร์ 5 เต็มหลอด ห่อละ 5 หลอด รวมทั้งสิ้นจำนวน 80 หลอดนายนิติพัฒน์ได้แจ้งข้อหาให้จำเลยทั้งสามทราบว่าร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 รับสารภาพต่อจากนั้นได้นำตัวจำเลยทั้งสามไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ทำบันทึกการจับกุม เห็นว่าคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวมีข้อเท็จจริงเชื่อมโยงสอดคล้องต้องกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการตรวจคันพบของกลางในคดีนี้ ประกอบกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เข้าทำการจับกุมและตรวจค้นกระเป๋าในทันทีที่จำเลยที่ 3 ส่งมอบให้จำเลยที่ 1ซึ่งพบเฮโรอีนของกลางบรรจุอยู่ในกระเป๋าดังกล่าว พยานโจทก์ล้วนเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 มาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะทำให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความให้เป็นผลร้ายหรือปรักปรำจำเลยที่ 1 และไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นการสร้างเรื่องเชื่อมโยงบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อเอาผิดกับจำเลยที่ 1 หรือเพื่อเอาผลงานการจับกุมปราบปรามยาเสพติดดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้าง ทั้งคดีนี้พยานโจทก์สืบทราบมาก่อนแล้วว่า จะมีการส่งมอบเฮโรอีนของกลางตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังกล่าว จึงได้ไปเฝ้าสังเกตการณ์เพื่อหาโอกาสเข้าทำการตรวจค้นและจับกุม ผู้ร่วมทำการจับกุมซึ่งเป็น>พยานโจทก์และที่จำเลยที่ 1 อ้างเป็นพยานต่างก็เบิกความยืนยันฟังข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก่อนและขณะทำการตรวจจับกุมจำเลยที่ 1แม้จะเบิกความแตกต่างและขัดแย้งกันบ้างเกี่ยวกับจำนวนผู้ที่เข้าจับกุมจำเลยที่ 1 การซุ่มดูเหตุการณ์ก่อนเข้าทำการจับกุมจุดที่มีการส่งมอบของกลางบริเวณใกล้เคียงสถานที่เกิดเหตุและสถานที่จับกุม ตลอดจนการนำตัวจำเลยที่ 1 ไปที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ก็ตามแต่ข้อแตกต่างดังกล่าวล้วนเป็นเพียงพลความหาใช่เป็นสาระสำคัญอันจะทำให้น้ำหนักในการรับฟังพยานหลักฐานโจทก์ลดน้อยลงไปจนไม่อาจรับฟังได้ว่ามีเหตุเกิดขึ้นจริงดังที่พยานโจทก์เบิกความไม่ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จากการเผชิญสืบจุดที่พยานโจทก์เฝ้าดูไม่อาจมองเห็นจุดที่อ้างว่าเป็นจุดซึ่งมอบของกลางเนื่องจากมีร้านค้าปิดทึบบังสายตาอยู่และที่อ้างว่าได้รับแจ้งจากสายลับเกี่ยวกับพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 รวมทั้งได้ไปดูตัวจำเลยที่ 1 ก่อนจับกุมก็เป็นการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย เพราะมิได้นำตัวบุคคลที่อ้างว่าเป็นสายลับมาเบิกความนั้น เห็นว่าเมื่อพิจารณาแผนที่เกิดเหตุและภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุ ประกอบการเดินเผชิญสืบ จะเห็นได้ว่า รถคันที่นายนิติพัฒน์จอดเฝ้าดูอยู่ตรงข้ามบันไดทางขึ้นด้านซ้ายมือของแฟลตที่ 9 ฝั่งเดียวกับแฟลตที่ 10 โดยมีถนนคั่นกลางระหว่างแฟลตที่ 9 กับแฟลตที่ 10กว้างประมาณ 10 เมตรแม้บริเวณข้างแฟลตที่ 9 จะมีร้านค้าบังอยู่ดังที่จำเลยที่ 1 เบิกความ แต่ก็สามารถมองเห็นสภาพของฝั่งตรงข้ามได้เพราะร้านค้ามีสภาพเป็นเพิงโปร่ง และบริเวณบันไดทางขึ้นแฟลตที่ 9 ที่จำเลยที่ 1 ยื่นอยู่ไม่มีร้านค้าแต่อย่างใด ประกอบกับนายนิติพัฒน์กับนายสมศักดิ์นั่งอยู่ในรถยนต์และเฝ้าดูการกระทำความผิด จึงต้องอยู่ในตำแหน่งที่สามารถมองเห็นได้ชัด น่าเชื่อว่าจุดที่จำเลยที่ 1 ยืนอยู่และจำเลยที่ 3 ส่งมอบกระเป๋าบรรจุเฮโรอีนของกลางให้แก่จำเลยที่ 1 นั้น พยานโจทก์สามารถมองเห็นได้ และแม้ไม่ได้นำตัวบุคคลที่อ้างว่าเป็นสายลับมาเบิกความ แต่เจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.)ผู้มีหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษได้เฝ้าติดตามพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 มาก่อน จากการสืบสวนและรายงานของสายลับก็สามารถนำประกอบในการติดตามตรวจค้นและจับกุมจนกระทั่งค้นได้เฮโรอีนของกลางดังกล่าวเมื่อฟังประกอบพยานบุคคลของโจทก์แล้ว ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น หาใช่ผู้จับกุมทำงานเพียงเพื่อผลงานการจับกุมและจับกุมจำเลยที่ 1 จากสถานที่หนึ่งแล้วนำมาผูกเรื่องเชื่อมโยงกันการจับกุมจำเลยที่ 2 และที่ 3ที่ได้ของกลางดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาไม่ พยานหลักฐานจำเลยที่ 1ไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์
พิพากษายืน

Share