คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2230/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุที่โรงงานผู้ตายมีคนอยู่ด้วยกันเพียง 5 คน คือผู้ตายทั้งสามนาย ส.และจำเลย แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าใครเป็นคนร้ายฆ่าผู้ตายทั้งสามและชิงทรัพย์ผู้ตายก็ตาม แต่ตามข้อเท็จจริงและพยานแวดล้อมกรณี รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้ร่วมกระทำผิดด้วย ศาลก็พิพากษาลงโทษจำเลยได้
จำเลยฆ่าผู้ตายคราวเดียว 3 คน คือ นาย ย. นาง พ. และเด็กชาย น. นาง พ.เป็นหญิงมีครรภ์ถูกทำร้ายถึง 10 แห่ง ถึงแก่ความตายเนื่องจาก-กะโหลกศีรษะแตกร้าว เลือดออกในสมอง และจากบาดแผลถูกแทง เด็กชาย น. อายุเพียง 1 ปี 6 เดือน มีบาดแผลกะโหลกศีรษะแตกสมองได้รับกระทบกระเทือนอย่างแรง นาย ย.เป็นสามีนาง พ. และเป็นบิดาเด็กชาย น. มีบาดแผลถึง 5 แห่ง เป็นการฆ่าให้ตายทั้งครอบครัว มีลักษณะกระทำทารุณโหดร้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่หลบหนีจับตัวยังไม่ได้อีก ๑ คน ได้ร่วมกันใช้ไม้และเหล็กขูดชาฟท์เป็นอาวุธ ตี และแทงทำร้ายร่างกายนายหยุ่นคง หรือกงชัย นางพัชรากับเด็กชายหนึ่ง สามีภรรยาและบุตรซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยกับพวก ถูกตามบริเวณร่างกายหลายแห่งบาดเจ็บสาหัส และถึงแก่ความตายทันทีทั้ง ๓ คน โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่าผู้ตายทั้งสาม โดยการไตร่ตรองเตรียมการไว้ก่อน และเพื่อความสะดวกในการกระทำผิดอย่างอื่น และโดยลักษณะการกระทำการฆ่าที่ทารุณโหดร้ายต่อผู้ตาย ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยกับพวก และผู้ตายได้ตายสมดังเจตนาของจำเลย และจำเลยกับพวกได้บังอาจร่วมกันชิงทรัพย์ของผู้ตายดังกล่าวแล้ว โดยจำเลยกับพวกร่วมกันประทุษร้ายฆ่าผู้ตายทั้งสามเพื่อความสะดวกในการชิงทรัพย์ จำเลยกับพวกได้ชิงทรัพย์รวมเป็นราคาทั้งสิ้น ๓๑,๐๐๐ บาท ของนายหยุ่นกงหรือกวงชัยผู้ตายไป ขอให้ลงโทษตามประมวลอาญา มาตรา ๘๓, ๓๓๙ (๑) (๓) วรรคสอง วรรคห้า, ๒๘๙ (๕) (๖) (๗) ฯลฯ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง วรรคห้า, ๒๘๙ (๕) (๖) (๗) ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๔ ขณะกระทำผิดจำเลยมีอายุเพียง ๑๓ ปีเศษ ให้ส่งตัวไปฝึกอบรมในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางจนกว่าจะมีอายุครบสิบแปดปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๔ (๕) ริบของกลาง และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๓๑,๐๐๐ บาท แก่ผู้มีสิทธิได้รับคืน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเด็กและเยาวชนพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์โดยวางเงื่อนไขเกี่ยวกับความประพฤติของจำเลยไว้ ฯลฯ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเด็กและเยาวชนพิจารณาแล้วได้ความตามที่โจทก์นำสืบว่า นายหยุ่นกง หรือกวงชัยผู้ตายเป็นเจ้าของโรงงานทำเครื่องหวายที่ตึกแถว ๒ คูหา ซอยสายน้ำทิพย์ ถนนสุขุมวิท ๒๒ แขวงคลองตัน เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร และใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วย มีคนงานประมาณ ๗ – ๑๐ คน โรงงานเปิดเวลา ๗ นาฬิกา ปิดเวลา ๒๒ นาฬิกา เมื่อปิดประตูโรงงานแล้วจะไม่เปิดอีกจนกว่าจะรุ่งเช้า เพราะลูกกุญแจอยู่กับนายหยุ่นกงผู้ตาย ผู้ตายทั้งสามนอนอยู่ชั้นสามและมีคนงานอีก ๓ คนคือ นายสวย นายประจวบ และจำเลยพักหลับนอนอยู่กับนายหยุ่นกงผู้ตายที่ชั้นสอง นายหยุ่นกงและนางพัชราถูกฆ่าตายที่ชั้นสอง ส่วนเด็กชายหนึ่งถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสนอนอยู่ที่ชั้นสามและไปถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาลตำรวจในวันรุ่งขึ้น คืนเกิดเหตุโรงงานปิดเวลา ๒๒ นาฬากาคนงานอื่นกลับไปหมดแล้วคงมีแต่นายสวยและจำเลยอยู่กับนายหยุ่นกงผู้ตาย รุ่งเช้านายธีรศักดิ์น้องชายนายหยุ่นกงผู้ตายและตำรวจมาเปิดประตูโรงงานเข้าไปคงพบแต่ศพของคนทั้งสาม ไม่พบนายสวยและจำเลย ก่อนเกิดเหตุคือวันที่ ๑๕ เดือนเดียวกันและในคืนเกิดเหตุสวยได้ชวนนายประจวบและจำเลยปล้นทรัพย์นายหยุ่นกงผู้ตาย นายประจวบไม่ร่วมมือด้วย จำเลยให้การในชั้นสอบสวนและในชั้นพิจารณารับว่า คืนเกิดเหตุนายสวยได้ชวนจำเลยกับนายประจวบให้ร่วมทำการปล้นทรัพย์นายหยุ่งกง จำเลยกับนายประจวบไม่ร่วมด้วย จำเลยจึงชวนนายประจวบออกไปข้างนอก ขณะจำเลยลงไปอาบน้ำชั้นล่าง นายประจวบก็ออกไปจากโรงงานเสียก่อน เมื่อจำเลยอาบน้ำเสร็จขึ้นมาชั้นสองเพื่อจะแต่งตัว ขณะเดียวกันเห็นนายสวยเดินมาจากชั้นล่างถือมีดอยู่ในมือ เมื่อนายสวยวิ่งขึ้นไปทำร้ายเด็กชายหนึ่งชั้นสาม จำเลยหนีลงมาชั้นล่างแต่ประตูเหล็กใส่กุญแจ จึงกลับขึ้นไปชั้นบนอีก และถูกนายสวยบังคับให้หยิบลูกกุญแจจากตัวนายหยุ่นกงซึ่งมีเลือดอยู่ตามตัวมาส่งให้ หลังจากนั้นนายสวยก็พาจำเลยหลบหนีไป ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุที่โรงงานผู้ตายมีคนอยู่ด้วยกันเพียง ๕ คน คือผู้ตายทั้งสาม นายสวยและจำเลย แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่า ใครเป็นคนร้ายฆ่าผู้ตายทั้งสามและชิงทรัพย์ผู้ตายก็ตาม แต่ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว คนร้ายจะเป็นคนอื่นไม่ได้นอกจากนายสวยหรือจำเลย หรือนายสวยและจำเลยร่วมกันกระทำความผิด สำหรับจำเลยซึ่งมีอายุเพียง ๑๓ ปีเศษ นายหยุ่นกงและนางพัชราสามีภรรยาก็เป็นนายจ้างและเป็นผู้ใหญ่ จึงไม่เชื่อว่าจำเลยจะทำการใหญ่แต่เพียงผู้เดียวได้ คนที่เป็นตัวการฆ่าและชิงทรัพย์ผู้ตายดังกล่าวจึงต้องเป็นนายสวย นายหยุ่นกงและนางพัชราถูกฆ่าตายที่ชั้นสอง แสดงว่าผู้ตายทั้งสองนี้ยังไม่ได้ขึ้นไปนอนที่ชั้นสาม ยังคงทำธุรกิจอยู่ที่ห้องชั้นสอง นายหยุ่นกงนอนตายที่ห้องเก็บของชั้นสอง นางพัชรานอนตายที่ห้องกลางชั้นสอง มีรอยถูกแทงด้วยมีดและเหล็กขูดชาฟท์ ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ค้นพบกางเกงของจำเลยที่โรงงานมีรองเปื้อนเลือดมนุษย์ นายหยุ่นกงถูกทำร้ายถึง ๕ แห่ง ส่วนนางพัชรากำลังตั้งครรภ์ถูกทำร้ายถึง ๑๐ แห่ง ถึงแก่ความตาย เนื่องจากกะโหลกศีรษะแตกร้าว เลือดออกในสมองและจากบาดแผลถูกแทง เห็นได้ว่านายสวยลอบทำร้ายนายหยุ่นกงและนางพัชราขณะเผลอตัว ลักษณะการกระทำและบาดแผลดังกล่าวนายสวยจะทำคนเดียวไม่ได้ เพราะถ้าทำร้ายนายหยุ่นกงหรือนางพัชราก่อนคนทั้งสองก็ต้องมีโอกาสช่วยเหลือกัน และจะต้องมีร่องรอยการต่อสู้ จึงน่าเชื่อว่าจำเลยต้องร่วมมือกับนายสวยด้วย ส่วนเด็กชายหนึ่งที่ถูกฆ่าตายด้วยน่าจะเป็นด้วยเมื่อนายสวยกับจำเลยฆ่านายหยุ่นกงและนางพัชราแล้วได้ขึ้นไปค้นหาทรัพย์ชั้นบน เด็กชายหนึ่งได้ร้องขึ้น นายสวยกับจำเลยจึงทำร้ายเสียเพื่อเก็บเสียงไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตของเพื่อนบ้านห้องใกล้เคียงเกิดเหตุแล้วจำเลยก็หลบหนีไปกับนายสวยถึงจังหวัดขอนแก่นแล้วจึงแยกย้ายกันไป โดยจำเลยเดินทางไปบ้านจำเลยที่จังหวัดมหาสารคาม ตามข้อเท็จจริงและพยานแวดล้อมกรณีดังที่ได้วินิจฉัยมา รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยได้ร่วมกับนายสวยฆ่าผู้ตายทั้งสามโดยเจตนา โดยการไตร่ตรองเตรียมการไว้ก่อน เพื่อความสะดวกในการชิงทรัพย์และเอาทรัพย์ของผู้ตาย เพื่อปกปิดความผิด และเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญา และโดยเหตุที่จำเลยได้ฆ่าผู้ตายคราวเดียว ๓ คน คนหนึ่งคือนางพัชราเป็นหญิงมีครรภ์ อีกคนหนึ่งเป็นเด็กชายหนึ่งอายุเพียง ๑ ปี ๖ เดือน นายหยุ่นกงเป็นสามีนางพัชรา และเป็นบิดาเด็กชายหนึ่ง เป็นการฆ่าให้ตายทั้งครอบครัว มีลักษณะกระทำทารุณโหดร้าย จำเลยจึงต้องมีความผิดตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยที่จำเลยเบิกความว่า นายสวยชวนนายประจวบและจำเลยกระทำความผิด นายประจวบและจำเลยไม่เอาด้วย จำเลยชวนนายประจวบออกไปจากโรงงาน นายประจวบออกไปเสียก่อนจำเลยไม่ทันออกไป นายสวยก็ก่อเหตุเสียก่อนและบังคับให้จำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุ ให้หยิบลูกกุญแจจากตัวนายหยุ่นกงซึ่งนอนมีเลือดอยู่ตามตัวมาส่งให้ เลือดจึงเปื้อนกางเกงจำเลยนั้นไม่มีเหตุผลและส่อพิรุธ เพราะถ้าเป็นความจริง นายสวยคงไม่ลงมือกระทำความผิด ในขณะที่จำเลยยังไม่ได้ออกไปจากที่เกิดเหตุ เพราะจำเลยจะเป็นพยานมัดตัวนายสวยได้เป็นอย่างดี ตลอดเวลาที่จำเลยหนีไปกับนายสวยก็ไม่ปรากฏว่านายสวยได้ขู่เข็ญบังคับจำเลยให้ต้องไปกับนายสวย ก่อนจะแยกทางกันนายสวยยังให้เงินจำเลยไว้ ๒๐๐ บาท เหตุใดจำเลยจึงไม่แยกทางกับนายสวยเสียก่อนที่ใกล้จะถึงบ้านจำเลยในโอกาสแรกที่จะทำได้ ฯลฯ
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share