แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
กรณีที่ผู้รับการประเมินมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถจะปฏิบัติตามกำหนดเวลาการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ย่อมมีสิทธิที่จะขอให้อธิบดีกรมสรรพากรอนุมัติให้ขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาในการยื่นคำอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ออกไปได้หากอธิบดีกรมสรรพากรพิจารณาแล้วเห็นว่าผู้รับการประเมินมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถจะปฏิบัติตามกำหนดเวลาการอุทธรณ์การประเมินได้ตามประมวลรัษฎากรมาตรา30แต่กลับสั่งไม่อนุมัติให้ขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาออกไปแก่ผู้รับการประเมินตามความจำเป็นแก่กรณีเป็นการขัดขวางมิให้ผู้รับการประเมินได้รับสิทธิในการพิจารณาอุทธรณ์จากคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และสิทธิในการอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลคำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรดังกล่าวย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายผู้รับการประเมินมีสิทธิที่จะฟ้องขอให้ศาลภาษีอากรกลางเพิกถอนคำสั่งอันไม่ชอบด้วยกฎหมายของอธิบดีกรมสรรพากรดังกล่าวได้เพื่อให้ศาลภาษีอากรกลางแก้ไขคำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรเสียใหม่ให้ถูกต้องตามเจตนารมณ์ของประมวลรัษฎากรมาตรา3อัฏฐต่อไปโดยถือว่าคำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรดังกล่าวเป็นคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานตามกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากรมิฉะนั้นผู้รับการประเมินย่อมไม่มีโอกาสที่จะได้รับสิทธิตามที่ประมวลรัษฎากรมาตรา3อัฎฐและมาตรา30บัญญัติไว้นั้นได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ยื่นหนังสือขอขยายระยะเวลายื่นคำอุทธรณ์ต่อจำเลยแต่จำเลยมีคำสั่งไม่อนุมัติ โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวและให้จำเลยอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
จำเลยให้การว่า คำสั่งไม่อนุมัติชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลย และให้จำเลยรับคำอุทธรณ์ของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยในข้อแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมสรรพากรที่ไม่อนุมัติให้ขยายกำหนดเวลายื่นคำอุทธรณ์แก่โจทก์นั้นได้หรือไม่ เห็นว่า การอุทธรณ์การประเมินภาษีอากรเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ประมวลรัษฎากรมาตรา 30 บัญญัติไว้ให้สิทธิแก่ผู้รับการประเมินที่จะอุทธรณ์การประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว ผู้รับการประเมินก็มีสิทธิที่จะอุทธรณ์ต่อศาลได้อีกภายในกำหนด 30 วัน นับแต่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ซึ่งคดีอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ดังกล่าวนั้น ศาลภาษีอากรกลางมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528มาตรา 7(1) แต่ผู้รับการประเมินจะนำคดีมาฟ้องต่อศาลภาษีอากรได้ก็ต่อเมื่อได้มีการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์วิธีการและระยะเวลาที่กำหนดไว้เช่นว่านั้นและได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดคำคัดค้านและคำอุทธรณ์นั้นเสร็จแล้ว ดังที่มาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 บัญญัติไว้สำหรับกรณีที่ผู้รับการประเมินมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถจะปฏิบัติตามกำหนดเวลาในการอุทธรณ์ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 30 แห่งประมวลรัษฎากรได้นั้น มาตรา 3 อัฎฐ ก็ได้บัญญัติว่าเมื่ออธิบดี(กรมสรรพากร) พิจารณาเห็นเป็นการสมควรจะให้ขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาออกไปอีกตามความจำเป็นแก่กรณีก็ได้ วิธีการดังกล่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ผู้รับการประเมินจะต้องปฏิบัติโดยถูกต้องเพื่อการที่จะได้รับการพิจารณาและพิพากษาคดีจากศาลภาษีอากรกลางได้ ดังนั้น กรณีที่ผู้รับการประเมินมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถจะปฏิบัติตามกำหนดเวลาการอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ ย่อมมีสิทธิที่จะขอให้อธิบดีกรมสรรพากรอนุมัติให้ขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาในการยื่นคำอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ออกไปได้ หากอธิบดีกรมสรรพากรพิจารณาแล้วเห็นว่าผู้รับการประเมินมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถจะปฏิบัติตามกำหนดเวลาการอุทธรณ์การประเมินได้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 แต่กลับสั่งไม่อนุมัติให้ขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาออกไปแก่ผู้รับการประเมินตามความจำเป็นแก่กรณีเป็นการขัดขวางมิให้ผู้รับการประเมินได้รับสิทธิในการพิจารณาอุทธรณ์จากคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และสิทธิในการอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลได้ ย่อมเห็นได้ว่าคำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้รับการประเมินจึงมีสิทธิที่จะฟ้องขอให้ศาลภาษีอากรกลางเพิกถอนคำสั่งอันไม่ชอบด้วยกฎหมายของอธิบดีกรมสรรพากรดังกล่าวได้ เพื่อให้ศาลภาษีอากรกลางแก้ไขคำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรเสียใหม่ให้ถูกต้องตามเจตนารมณ์ของประมวลรัษฎากรมาตรา 3 อัฏฐ ต่อไป โดยถือว่าคำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรดังกล่าวเป็นคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานตามกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากรมิฉะนั้นผู้รับการประเมินย่อมไม่มีทางที่จะได้รับสิทธิตามที่ประมวลรัษฎากร มาตรา 3 อัฏฐ และมาตรา 30 บัญญัติไว้นั้นได้ดังนั้น ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งไม่อนุมัติให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์แก่โจทก์ได้นั้น ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาในข้อที่สองมีว่า คำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรที่ไม่อนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาการยื่นคำอุทธรณ์แก่โจทก์ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้วหรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติโดยโจทก์จำเลยมิได้โต้แย้งกันแล้วนั้นว่า เจ้าพนักงานประเมินส่งหนังสือแจ้งการประเมินแก่โจทก์ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ได้นำหนังสือดังกล่าวไปส่งแก่โจทก์ ณ สำนักงานของโจทก์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2536 พนักงานของโจทก์ซึ่งทำหน้าที่เป็นเวรยามรักษาการณ์ได้ลงลายมือชื่อในใบไปรษณีย์ตอบรับในการรับหนังสือแจ้งการประเมินนั้นไว้ ซึ่งวันที่ 6 ธันวาคม 2536นั้นเป็นวันหยุดทำทำการของโจทก์ ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยเอกสารหมาย จ.2 เนื่องจากเป็นวันหยุดชดเชยวันเฉลิมพระชนม์พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินตามความเป็นจริงในวันที่ 7 ธันวาคม 2536 จึงได้ยื่นคำอุทธรณ์การประเมินในวันที่ 6 มกราคม 2537 เจ้าหน้าที่ของจำเลยได้รับคำอุทธรณ์ของโจทก์นั้นไว้ ต่อมาโจทก์ทราบจากเจ้าหน้าที่ของจำเลยว่าคำอุทธรณ์ของโจทก์ที่ยื่นกำหนดไว้เกินกำหนด 30 วัน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 บัญญัติไว้ไป 1 วัน โจทก์จึงได้ยื่นคำร้องต่ออธิบดีกรมสรรพากรเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2537 ขอให้อธิบดีกรมสรรพากรอนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาการยื่นคำอุทธรณ์แก่โจทก์ออกไป อธิบดีกรมสรรพากรพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่ากรณียังไม่มีเหตุจำเป็นอันสมควร จึงไม่อนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาการยื่นคำอุทธรณ์ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ข้อเท็จจริงฟังได้หรือไม่ว่าโจทก์มีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถจะปฏิบัติตามกำหนดเวลาการยื่นคำอุทธรณ์ที่ประมวลรัษฎากร มาตรา 30 บัญญัติไว้ ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำเบิกความของนายทศพล รัตนวิจิตร พยานโจทก์ว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายทศพลยื่นคำอุทธรณ์เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2537 นายทศพลทำคำอุทธรณ์เสร็จพร้อมที่จะยื่นได้ก่อนวันที่ 6 มกราคม 2537นายทศพลเคยนำคำอุทธรณ์ไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ของจำเลยเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2537 แต่ผลสุดท้ายนายทศพลได้ขอคำอุทธรณ์นั้นคืนมาเสียจากเจ้าหน้าที่เสีย เนื่องจากมีเหตุขัดข้องเกี่ยวกับหนังสือค้ำประกันการขอทุเลาการเสียภาษีอากร ซึ่งจะต้องแก้ไขเสียก่อน ผลก็คือโจทก์มิได้ยื่นคำอุทธรณ์ในวันที่ 3 มกราคม 2537สำหรับการยื่นคำอุทธรณ์นั้นสามารถทำได้โดยไม่ต้องยื่นคำร้องขอทุเลาการเสียภาษีอากรพร้อมกันด้วย ดังที่นายทศพลยื่นคำอุทธรณ์ในวันที่ 6 มกราคม 2537 ก็ไม่ได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการเสียภาษีอากรด้วยแต่อย่างใด ดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่า โจทก์สามารถที่จะยื่นอุทธรณ์ภายในวันที่ 5 มกราคม 2537 อันเป็นการปฏิบัติตามกำหนดเวลาการอุทธรณ์ที่ประมวลรัษฎากร มาตรา 30 บัญญัติไว้ได้ กรณีหาใช่โจทก์มีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถตามกำหนดเวลาการอุทธรณ์ที่ประมวลรัษฎากร มาตรา 30 บัญญัติไว้ไม่ ดังนั้น การที่อธิบดีกรมสรรพากรปรับข้อเท็จจริง โจทก์ไม่มีเหตุจำเป็นอันสมควร จึงไม่อนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาการยื่นคำอุทธรณ์ จึงเป็นการชอบด้วยข้อกฎหมายตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 3 อัฏฐ แล้ว คำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรจึงชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีเหตุที่โจทก์จะมาฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวเสียได้ ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า โจทก์เข้าใจผิดในข้อกฎหมายว่าสามารถยื่นคำอุทธรณ์ได้ถึงวันที่ 6 มกราคม 2537 ทั้งโจทก์ยื่นเกินกำหนดเพียง 1 วัน ไม่มีเจตนาที่จะไม่ปฏิบัติตามกำหนดระยะเวลายื่นคำอุทธรณ์ จึงมีเหตุอันสมควรที่จะอนุมัติให้ขยายเวลายื่นคำอุทธรณ์ได้ คำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรที่ไม่อนุมัติให้ขยายระยะเวลายื่นคำอุทธรณ์จึงไม่ถูกต้อง สมควรที่จะเพิกถอนและให้จำเลยรับคำอุทธรณ์ของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไปนั้น จึงไม่ต้องด้วยความเห็นศาลฎีกาอุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์