คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2224/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ใบรับเงินมีข้อความว่า “จำเลยตกลงจะขายที่ดินให้โจทก์ โดยมีเงื่อนไขการชำระเงินเป็นเวลา 2 ปี และในวันนี้โจทก์ได้ชำระเงินมัดจำจำนวน 500,000 บาท ด้วยเช็ค ส่วนที่เหลือจะชำระตามเงื่อนไขสัญญาจะซื้อจะขายที่ทั้งสองฝ่ายจัดทำขึ้นภายใน 30 วัน” เห็นได้ว่า ใบรับเงินเป็นเพียงหลักฐานการรับเงินมัดจำที่โจทก์ชำระแก่จำเลยเท่านั้น หลังจากนั้นโจทก์กับจำเลยจะต้องทำสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งจะได้จัดทำขึ้นภายหลังภายใน 30 วัน ตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน แสดงให้เห็นว่า โจทก์จำเลยมีเจตนาจะทำสัญญาจะซื้อจะขายเป็นหนังสือกันอีก กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติ ป.พ.พ. มาตรา 366 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “ถ้าได้ตกลงกันว่าสัญญาอันมุ่งจะทำนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือไซร้ เมื่อกรณีเป็นที่สงสัยท่านนับว่ายังมิได้มีสัญญาต่อกันจนกว่าจะได้ทำขึ้นเป็นหนังสือ” ดังนั้น เมื่อโจทก์และจำเลยยังมิได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายกันเป็นหนังสือ สัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงไม่เกิดขึ้น เงินมัดจำที่จำเลยรับไว้จึงเป็นการรับไว้โดยปรากศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ จำเลยไม่มีสิทธิริบมัดจำจึงต้องคืนให้โจทก์ฐานลาภมิควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 406

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 2,034,820 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,457,560 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินมัดจำจำนวน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2546 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีนายธนพลเป็นผู้แทนผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการพัฒนาที่ดิน จัดสรรที่ดิน ส่วนจำเลยเคยเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 608 ตำบลบึงคำพร้อย ( คลองซอยที่ 7 ฝั่งตะวันตก ) อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี โดยจำเลยได้เสนอจะขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ และโจทก์ ได้วางเงินมัดจำจำนวน 500,000 บาท ให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2545 วันที่ 15 ธันวาคม 2545 จำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์จัดทำสัญญาจะซื้อจะขายให้แล้วเสร็จภายในกำหนด มิฉะนั้นถือเป็นการบอกเลิกสัญญาและจะใช้สิทธิริบเงินมัดจำ โจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าววันที่ 21 ธันวาคม 2545 ต่อมาโจทก์มีหนังสือลงวันที่ 30 ธันวาคม 2545 แจ้งให้จำเลยมาทำสัญญาจะซื้อจะขายภายในเวลาที่กำหนด ณ ที่ทำการของโจทก์ โดยทั้งสองฝ่ายได้มาเจรจาเกี่ยวกับเงื่อนไขการชำระค่าที่ดินกันเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2546 แต่ไม่อาจตกลงเงื่อนไขระหว่างกันได้ ภายหลังจำเลยได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าว ให้แก่นายปัญญาชัย มีการแบ่งแยกโฉนดที่ดินและทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างกัน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยมีสิทธิริบเงินมัดจำหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า การที่โจทก์และจำเลยตกลงกันจะต้องอยู่ภายในกรอบของข้อตกลงที่ระบุในใบรับเงิน ซึ่งมี 3 ประการคือ ประการแรกโจทก์จะต้องชำระเงินค่าที่ดินภายในกำหนด 2 ปี ประการที่สองโจทก์จะต้องชำระเงินค่าที่ดินให้ครบถ้วนภายในวันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน และประการที่สามโจทก์จะต้องชำระค่าที่ดินด้วยเงินสดเท่านั้น เห็นว่า ใบรับเงิน มีข้อความว่า “จำเลยตกลงจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 603 ( ที่ถูก เลขที่ 608 ) เลขที่ดิน 15 ตำบลคลองชลที่ 7 ( ฝั่งตะวันตก ) อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เนื้อที่ 50 ไร่ ให้โจทก์ในราคาไร่ละ 1,200,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 60,000,000 บาท โดยมีเงื่อนไขการชำระเงินเป็นเวลา 2 ปี และในวันนี้โจทก์ได้ชำระเงินมัดจำจำนวน 500,000 บาท โดยเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขารามอินทรา ลงวันที่ 16 สิงหาคม 2545 ส่วนที่เหลือจะชำระตามเงื่อนไขสัญญาจะซื้อจะขาย ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้จัดทำขึ้นภายใน 30 วัน” เห็นได้ว่า ใบรับเงินเป็นเพียงหลักฐานการรับเงินมัดจำที่โจทก์ชำระให้แก่จำเลยเท่านั้น หลังจากนั้น โจทก์กับจำเลยจะต้องทำสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งจะได้จัดทำขึ้นภายหลังภายใน 30 วัน ตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน ซึ่งตามสัญญาจะซื้อจะขายโดยทั่วไปก็ต้องมีสาระสำคัญเรื่องการชำระเงิน การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน อันเป็นการจำเป็นในการจดทะเบียนซื้อขายที่ดิน โดยเฉพาะเงินที่ต้องชำระเป็นค่าที่ดินจำนวนมากถึง 60,000,000 บาท ซึ่งโจทก์มีนางสาวอนงค์นาฎ หุ้นส่วนของโจทก์เบิกความว่า จำเลยให้โจทก์สามารถผ่อนชำระค่าที่ดินได้ภายใน 2 ปี และเมื่อชำระค่าที่ดินครบ 10,000,000 บาท สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้ก่อนได้ ส่วนค่าที่ดินที่เหลือสามารถผ่อนชำระได้ตามเงื่อนไขที่ผู้จะซื้อกำหนด โจทก์จึงตกลงจะซื้อที่ดินแปลงดังกล่าว แต่จะชำระค่าที่ดินให้ก่อนได้เมื่อธนาคารอนุมัติเงินกู้ให้แล้ว ซึ่งอยู่ระหว่าง 1 เดือนครึ่งถึง 2 เดือน โดยจะชำระเป็นเช็คฉบับละ 1,000,000 บาท จำนวน 12 ฉบับ กับชำระเป็นเช็คฉบับละ 1,500,000 บาท จำนวน 12 ฉบับ และหลังจากวันโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้วอีก 12 เดือน จะชำระให้อีก 20,000,000 บาท โดยเช็คทั้งหมดเป็นการสั่งจ่ายไว้ล่วงหน้าและมอบให้ในวันโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด หากตกลงกันไม่ได้ โจทก์ก็จะทำสัญญากู้ให้จำเลยไว้เป็นหลักฐาน ต่อมาประมาณปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน 2545 นางสาวอนงค์นาฎได้ไปพบจำเลยที่บ้าน แจ้งว่าโจทก์พร้อมที่จะทำสัญญาจะซื้อจะขายและรับโอนกรรมสิทธิ์แล้ว แต่จำเลยขอขยายเวลาจะแจ้งกลับมาให้ทราบภายหลัง ซึ่งจำเลยก็นำสืบรับว่า จำเลยได้ไปคุยตกลงเงื่อนไขการชำระค่าที่ดินกับโจทก์ และโจทก์ได้เสนอชำระค่าที่ดินด้วยเช็คดังกล่าวจริง แต่จำเลยเกรงว่าเช็คไม่อาจขึ้นเงินได้ จึงแจ้งให้ตัวแทนของโจทก์ทราบว่าหากโจทก์ต้องการจะผ่อนชำระค่าที่ดินก็สามารถผ่อนชำระได้ แต่ต้องผ่อนชำระค่าที่ดินให้ครบถ้วนก่อนจึงจะโอนกรรมสิทธิ์ให้ได้ หลังจากนั้นจำเลยได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์จัดทำสัญญาจะซื้อจะขายให้แล้วเสร็จภายในกำหนด มิฉะนั้นจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำ ต่อมาจำเลยได้รับหนังสือจากโจทก์แจ้งให้มาจัดทำสัญญาจะซื้อจะขายภายในเวลาที่กำหนด แต่เมื่อได้มาเจรจากันแล้วไม่อาจตกลงกันได้ ตามพฤติการณ์ของโจทก์และจำเลยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า โจทก์จำเลยมีเจตนาจะทำสัญญาจะซื้อจะขายเป็นหนังสือกันอีก อันสอดคล้องกับที่ระบุไว้ใน ใบรับเงินว่า “ส่วนที่เหลือจะชำระตามเงื่อนไขสัญญาจะซื้อจะขาย ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้จัดทำขึ้นภายใน 30 วัน “ซึ่งก็คือร่างสัญญานั่นเอง กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 366 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “ถ้าได้ตกลงกันว่าสัญญาอันมุ่งจะทำนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือไซร้ เมื่อกรณีเป็นที่สงสัย ท่านนับว่ายังมิได้มีสัญญาต่อกันจนกว่าจะได้ทำขึ้นเป็นหนังสือ” ดังนั้น เมื่อโจทก์และจำเลยยังมิได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายกันเป็นหนังสือ สัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงไม่เกิดขึ้น เงินมัดจำที่จำเลยรับไว้จึงเป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ จำเลยไม่มีสิทธิริบมัดจำจึงต้องคืนให้โจทก์ฐานลาภมิควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น” พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share