แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เบียดบังยักยอกเงินโจทก์ไปแล้วจำเลยที่ 2 ทำหนังสือสัญญารับสภาพความรับผิดยอมผูกพันตนร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินแก่โจทก์ เป็นการเปลี่ยนสภาพแห่งหนี้ซึ่งเป็นสาระสำคัญของหนี้เดิมการที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้ชดใช้เงินตามหนังสือสัญญาดังกล่าว ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นพนักงานเก็บเงินของโจทก์จำเลยที่2 มีหน้าที่ตรวจการเก็บเงินของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 22กรกฎาคม 2524 เจ้าหน้าที่ของโจทก์ตรวจพบว่าจำเลยที่ 1 ทุจริตต่อหน้าที่เบียดบังเงินของโจทก์ที่จำเลยที่ 1 เก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าหลายครั้งหลายคราวเป็นเงิน 858,193.98 บาทซึ่งโจทก์ยังไม่ได้รับชดใช้เป็นเงิน 752,710.78 บาทส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินดังกล่าว และจำเลยที่ 2 ยอมชำระเงินจำนวน752,710.78 บาทแก่โจทก์โดยขอผ่อนชำระเป็นงวด ๆ ตามสัญญารับสภาพความรับผิดต่อมาจำเลยที่ 2 ถูกปลดออกจากงานโจทก์จึงยังมิได้รับชำระเงินจำนวนดังกล่าว โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งสองก็ไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมจำเลยที่ 2 ไม่ได้ประมาทเลินเล่อและไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ยักยอกเงินของโจทก์จำนวนหนี้ที่โจทก์ฟ้องไม่ถูกต้องและไม่สมบูรณ์ สัญญารับสภาพความรับผิดกระทำขึ้นด้วยการแสดงเจตนาลวงของทั้งสองฝ่ายจึงใช้บังคับไม่ได้ จำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับคำบอกกล่าวทวงถามจึงไม่ได้ผิดนัด โจทก์จะคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 2 ไม่ได้ และฟ้องของโจทก์ขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 752,710.78บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมและจำเลยที่ 1เบียดบังยักยอกเงินของโจทก์ไปได้เนื่องจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบจำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดชำระเงินตามจำนวนที่โจทก์ฟ้อง โจทก์และจำเลยที่ 2 นำสืบข้อเท็จจริงตรงกันว่าเมื่อจำเลยที่ 1 เบียดบังยักยอกเงินของโจทก์ไปแล้ว จำเลยที่ 2 ทำหนังสือสัญญารับสภาพความรับผิดลงวันที่ 25 มกราคม 2516 ยอมผูกพันตนร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้เงินจำนวน 752,710.78 บาทโดยจำเลยที่ 2 ขอผ่อนชำระเงินเป็นรายเดือนแก่โจทก์ การที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาดังกล่าวชดใช้เงินแก่โจทก์นั้น เป็นการเปลี่ยนสภาพแห่งหนี้ซึ่งเป็นสาระสำคัญของหนี้เดิม และการที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้ชดใช้เงินตามหนังสือสัญญาดังกล่าว ไม่มีกฎหมายบัญญัติกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีกำหนด 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2524 ซึ่งเป็นเวลายังไม่เกิน10 ปีนับแต่วันที่จำเลยทำหนังสือสัญญาดังกล่าว ดังนี้ฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน.