คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 222/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินบ้านมือเปล่านั้น เมื่อทางพิจารณาไม่มีฝ่ายใดนำสืบว่า ที่บ้านนั้น เจ้าของได้มีสิทธิในที่ดินตาม ก.ม.ลักษณะเบ็ดดเสร็จบทที่ 42 มาแล้ว ก็ต้องถือว่าเจ้าของมีสิทธิครอบครองมือเปล่าธรรมดาเช่นเดียวกันที่นามือเปล่าเท่านั้น ( อ้างฎีกาที่ 5/2495 )
ขายที่บ้านมือเปล่า โดยทำหนังสือสัญญากันเอง แล้วมอบที่ดินให้ผู้ซื้อครอบครองแล้ว อันถือได้ว่าผู้ขายได้มีเจตนาสละการครอบครองให้เขาแล้วผู้ขายย่อมไม่มีสิทธิฟ้องเรียกที่ดินนั้นคืน

ย่อยาว

โจทย์ฟ้องว่า เมื่อประมาณ ๓ ปีมานี้ โจทก์ได้ยืมเงินจำเลยไป ๑,๐๐๐ บาท ได้มอบที่บ้านและนา ให้จำเลยเก็บใช้ผลอาสินและทำนาต่างดอกเบี้ยตลอดมา จึงขอให้จำเลยรับชำระหนี้จากโจทก์และคืนที่พิพาทให้โจทก์
จำเลยให้การว่าโจทก์ได้ขายที่พิพาทให้จำเลยเป็นเงิน ๑๕๐๐ บาท ฯลฯ
ศาลชั้นต้น ฟังว่าโจทก์ได้ทำสัญญาขายที่บ้านและนาให้จำเลยจริง จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาคงฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ขายที่พิพาทให้แก่จำเลย โดยทำเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายกันเอง และได้มอบที่บ้านและนาให้จำเลยครอบครองแล้ว เมื่อที่บ้านและที่พิพาทกันเป็นที่ดินมือเปล่าน โจทก์ได้สละการครอบครองให้จำเลยแล้วจำเลยย่อมได้มาซึ่งสิทธิครองครอง สำหรับที่บ้านนั้น แม้จำเลยจะครอบครอง สำหรับที่บ้านนั้น แม้จำเลยจะครอบครองยังไม่ถึง ๑๐ ปี แต่เมื่อโจทก์มิได้นำสืบว่า ที่บ้านที่โจทก์มีสิทธิอยู่ตามกฎหมายลักาณะเบ็ดเสร็จบทที่ ๔๒ มาแล้ว ก็ต้องถือว่าโจทก์มีแต่เพียงสิทธิครอบครอง เมื่อโจทก์สละเจตนาครอบครองให้จำเลยแล้ว โจทก์จะเรียกคืนหาได้ไม่ ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๕/๒๔๙๕
จึงพิพากษายืน

Share