คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2217/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาขายสิทธิการเช่า (เซ้ง) ตึกแถวรวมทั้งสิทธิการเช่า โทรศัพท์ ซึ่งผู้ซื้อวางเงินมัดจำไว้บางส่วน ที่เหลือกำหนด ชำระเป็นงวดๆ เมื่อผู้ซื้อชำระเงินงวดแรกผู้ขายต้อง โอนสิทธิการเช่าตึกแถวให้แก่ผู้ซื้อ และเมื่อผู้ซื้อชำระเงินครบทุกงวดแล้วผู้ขายพร้อมด้วยบริวารจะย้าย ออกไปจาก ตึกแถวที่ขายสิทธิการเช่าให้แก่ผู้ซื้อทันที สัญญาดังกล่าวนี้เป็นสัญญาต่างตอบแทน ผู้ซื้อและผู้ขายต่างเป็นลูกหนี้และ เจ้าหนี้ ซึ่งกันและกันในการที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาผู้ซื้อ และผู้ขายได้ ปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวแล้วบางส่วน คือผู้ขาย ได้โอนสิทธิการเช่าตึกแถว ให้แก่ผู้ซื้อแล้วและผู้ซื้อ ชำระเงินให้ผู้ขายแล้วบางงวด ยังค้างชำระสองงวดสุดท้ายส่วนผู้ขายยังไม่ได้โอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์และยังไม่ได้ออก ไปจากตึกแถวที่ขายสิทธิการเช่าก่อนถึงกำหนดชำระเงิน สองงวดสุดท้าย ผู้ซื้อมีหนังสือบอกกล่าวให้ผู้ขายโอนโทรศัพท์ให้ภายใน 7 วัน มิฉะนั้นจะถือว่าผู้ขายผิดสัญญา จะระงับการ จ่ายเงิน ผู้ขายได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วเพิกเฉยเสีย เช่นนี้ จะถือว่าผู้ขายผิดสัญญา ยังไม่ได้ เพราะเรื่อง ที่ผู้ขายต้องโอนโทรศัพท์ให้ผู้ซื้อเมื่อไรนั้นมิได้กำหนดไว้ในสัญญาเมื่อผู้ซื้อมีหนี้ต้องชำระค่าซื้อสิทธิการเช่า ให้ผู้ขายให้เสร็จสิ้น ในวันที่กำหนดชำระเงินงวดสุดท้ายหนี้ที่ผู้ขายต้องโอนโทรศัพท์ให้ผู้ซื้อนั้น ก็ต้องกระทำให้ เสร็จสิ้นในวันดังกล่าวเช่นกัน
ประเด็นที่ว่าโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาโดยโจทก์พร้อมที่จะปฏิบัติการชำระหนี้ของตนเป็นประเด็นข้อสำคัญในคดีที่โจทก์ต้องนำสืบ แม้โจทก์จะมิได้ส่งสำเนาเอกสารเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวให้จำเลยก่อนวันสืบพยานสามวัน เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลมีอำนาจรับเอกสารนั้นไว้พิจารณาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาวางมัดจำขายสิทธิการเช่าตึกแถวเลขที่ 392/1-2สยามสแควร์ ซอย 5 ชั้น 2, 3 และ 4 รวมทั้งสิทธิการเช่าโทรศัพท์หมายเลข 2529558ให้แก่โจทก์ในราคา 820,000 บาท วางเงินมัดจำในวันทำสัญญา 100,000 บาท ที่เหลือผ่อนชำระเป็นงวด ต่อมาจำเลยได้โอนสิทธิการเช่าตึกแถวแต่ไม่จัดการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์แก่โจทก์ โจทก์ทวงถามให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์ได้มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา ให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากตึกแถว เมื่อครบกำหนดตามสัญญาซึ่งโจทก์พร้อมจะจ่ายเงินให้จำเลยทันที จำเลยเพิกเฉย เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากตึกแถวและโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ให้โจทก์หากจำเลยไม่จัดการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากตึกแถว
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ยอมชำระเงิน 2 งวดให้แก่จำเลยเป็นเงิน 200,000 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในอาคารพิพาท จำเลยไม่จำต้องโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ โจทก์ไม่เคยมีหนังสือบอกกล่าวใด ๆ แก่จำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า 1. จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ 2. โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาหรือไม่ 3. ค่าเสียหายมีเพียงใด
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากตึกแถวที่พิพาทให้จำเลยโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์หมายเลข 2529558 แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมโอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากตึกพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระเงินค่าซื้อสิทธิการเช่าตึกพิพาทที่ค้างชำระเป็นเงิน 200,000 บาทให้จำเลยด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์ 1,500 บาท
โจทก์ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทำสัญญาขายสิทธิการเช่าตึกแถวเลขที่ 392/1-2ชั้นที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ซึ่งอยู่ที่สยามสแควร์ ซอย 5 รวมทั้งสิทธิการเช่าโทรศัพท์หมายเลข 2529558 ให้โจทก์ในราคา 820,000 บาท ในวันทำสัญญาจำเลยรับมัดจำไว้แล้ว 100,000 บาท ที่เหลือโจทก์ตกลงชำระให้จำเลยเป็นงวด ๆ งวดสุดท้ายวันที่27 มีนาคม 2523 เมื่อโจทก์ชำระราคาครบถ้วนแล้วจำเลยและบริวารจะย้ายออกไปทันทีตามสัญญาเอกสารหมาย จ.2 จำเลยได้โอนสิทธิการเช่าตึกแถวให้โจทก์แล้ว และโจทก์ได้ชำระเงินให้จำเลยแล้วบางงวด ยังค้างชำระอยู่ 2 งวดสุดท้าย จำเลยยังไม่ได้โอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์และยังมิได้ออกไปจากตึกแถวดังกล่าว แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายที่ว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ว่า สัญญาเอกสารหมาย จ.2 เป็นสัญญาต่างตอบแทน โจทก์จำเลยต่างเป็นลูกหนี้และเจ้าหนี้ซึงกันและกันในการที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญา เรื่องที่จำเลยต้องโอนโทรศัพท์ให้โจทก์เมื่อไรนั้นมิได้กำหนดไว้ในสัญญา แต่โจทก์มีหนี้ต้องชำระค่าซื้อสิทธิการเช่าให้จำเลยให้เสร็จสิ้นในวันที่27 มีนาคม 2523 หนี้ที่จำเลยต้องโอนโทรศัพท์ให้โจทก์นั้นต้องกระทำให้เสร็จสิ้นในวันดังกล่าวเช่นกัน ดังนั้นการที่โจทก์มีหนังสือฉบับลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2523แจ้งให้จำเลยโอนโทรศัพท์ ซึ่งจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว การที่จำเลยเพิกเฉยเสียไม่โอนโทรศัพท์ให้ จะถือว่าจำเลยผิดสัญญายังไม่ได้เพราะโจทก์ยังไม่ได้ชำระหนี้ส่วนของตนให้จำเลย คือเงินที่ยังค้างชำระอีก 2 งวด
โจทก์อ้างว่าจำเลยผิดสัญญาอีกข้อหนึ่งคือ โจทก์ได้มีหนังสือฉบับลงวันที่30 มีนาคม 2523 แจ้งให้จำเลยโอนโทรศัพท์ให้และให้ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากตึกแถวดังกล่าว โดยโจทก์พร้อมจะชำระเงินให้จำเลยทันทีตามเอกสารหมาย จ.5 โจทก์ส่งเอกสารฉบับนี้ไปให้จำเลยโดยทางไปรษณีย์ตอบรับ จำเลยได้รับเอกสารแล้วตามใบตอบรับ ๆ เอกสารหมาย จ.6 แล้วจำเลยเพิกเฉยซึ่งจำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้รับเอกสารที่โจทก์ส่งไปให้ และโจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารหมาย จ.5, จ.6ให้จำเลยก่อนวันสืบพยานสามวัน ไม่ชอบที่ศาลจะรับฟังนั้น เห็นว่า ประเด็นที่ว่าโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาโดยโจทก์พร้อมที่จะปฏิบัติการชำระหนี้ของตนเป็นประเด็นข้อสำคัญในคดีที่โจทก์จะต้องนำสืบ แม้โจทก์จะมิได้ส่งสำเนาเอกสารนี้ให้จำเลยดังจำเลยฎีกา เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมแล้ว ศาลมีอำนาจรับเอกสารนี้ไว้พิจารณาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87 แล้วศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่า ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวเอกสาร จ.5 ทั้งความก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้กระทำการใดอันแสดงว่าโจทก์จะชำระหนี้ส่วนตนที่ยังชำระไม่ครบ พยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่า โจทก์ได้ดำเนินการขอชำระหนี้ส่วนของตนแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระหนี้ส่วนของจำเลย จำเลยจึงไม่ผิดสัญญาดังโจทก์อ้าง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
พิพากษากลับ ยกฟ้อง

Share