คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22121/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า ยึดสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท เป็นของกลาง แม้จะปรากฏตามบัญชีของกลางคดีอาญาว่า เจ้าพนักงานตำรวจยึดสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท มาด้วยก็ตาม เมื่อศาลมิได้สั่งริบ ศาลฎีกามีอำนาจสั่งคืนของกลางแก่เจ้าของได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 49 และมาตรา 186 (9)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 26, 76/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91, 138, 288 และริบกัญชาที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์ รถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บค 248 นครพนม กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, (ที่ถูก มาตรา 26 วรรคสอง) 76/1 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 288 ประกอบมาตรา 80 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 15 ปี และปรับ 1,500,000 บาท ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานกับฐานพยายามฆ่าผู้อื่นเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 วางโทษจำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน และปรับ 750,000 บาท ส่วนความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 แล้ว คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน รวมจำคุก 40 ปี 10 เดือน และปรับ 750,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบกัญชาที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง, 296 ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นจำคุกจำเลยมีกำหนด 9 ปี 6 เดือน และปรับ 750,000 บาท ริบรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บค 248 นครพนม ของกลาง แต่ให้คืนโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังยุติว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยขับรถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบียน บค 248 นครพนม มุ่งหน้าไปสู่จังหวัดมุกดาหาร โดยในรถยนต์ของจำเลยได้บรรทุกกัญชาแห้งอัดแท่งจำนวน 244 แท่ง น้ำหนัก 232.54 กิโลกรัม เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุได้ขับรถยนต์ชนกับรถยนต์กระบะป้ายแดง หมายเลขทะเบียน ศ – 1823 กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีสิบตำรวจเอกสมนึก เป็นผู้ขับ ดาบตำรวจพิภพและสิบตำรวจโททองเยี่ยมนั่งมาด้วย หลังเกิดเหตุขณะที่รถยนต์ของสิบตำรวจเอกสมนึกเสียหลักและหมุนอยู่บนถนน ได้มีรถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน บน 4065 กรุงเทพมหานคร ซึ่งขับโดยดาบตำรวจเผด็จชัยตามหลังมาได้ชนท้ายรถของสิบตำรวจเอกสมนึกทำให้รถยนต์ทั้งสามคันต่างได้รับความเสียหาย สิบตำรวจเอกสมนึก ดาบตำรวจพิภพ สิบตำรวจโททองเยี่ยมและจำเลยต่างได้รับบาดเจ็บ
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีนี้ตามบัญชีของกลางคดีอาญา เจ้าพนักงานตำรวจทำการยึดทรัพย์ของกลางได้ 4 รายการ ประกอบด้วยกัญชาแห้งอัดแท่งน้ำหนัก 232.54 กิโลกรัม รถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน บค 248 นครพนม สร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท โทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง โจทก์มีคำขอริบของกลาง 3 รายการ ยกเว้นสร้อยคอทองคำ 1 เส้น หนัก 2 บาท ซึ่งศาลมิได้สั่งริบ จึงเห็นสมควรสั่งคืนให้จำเลย แม้ปัญหาดังกล่าวจะมิได้มีฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจสั่งคืนของกลางดังกล่าวได้
พิพากษายืน แต่ให้คืนสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท แก่เจ้าของ

Share