คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2212/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องว่าจำเลยชิงเอาธนบัตร 740 บาท และตั๋วจำนำสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาทราคา 300 บาท รวมเป็นเงิน 1,040 บาทของผู้เสียหายไป ขอให้ลงโทษและสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 1,040บาทแก่เจ้าทรัพย์ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนให้แก่ผู้เสียหาย ย่อมมีความหมายว่าสำหรับตั๋วจำนำนั้น ถ้าจำเลยไม่สามารถคืนได้ก็ให้จำเลยใช้เงินแก่ผู้เสียหาย 300 บาท แต่เงินจำนวนนี้เป็นราคาที่จำนำทรัพย์ หาใช่ราคาของเอกสารตั๋วจำนำไม่และเมื่อในสำนวนไม่ปรากฏว่าเอกสารตั๋วจำนำมีราคาเท่าใด ศาลจึงไม่อาจสั่งให้จำเลยใช้ราคาตั๋วจำนำไปในคดีนี้ (อ้างฎีกาที่ 40/2508 และ1163/2509)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองไม่รับอนุญาต และพาอาวุธปืนไปในเมืองและทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร แล้วจำเลยร่วมกับพวกใช้ปืนเป็นอาวุธและรถยนต์แท็กซี่เป็นพาหนะชิงธนบัตรและตั๋วจำนำสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท ของผู้เสียหายไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 340 ตรี, 371, 83, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2517 มาตรา 3 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2514ข้อ 14, 15 กับให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 1,040 บาทแก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยได้ชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนและรถยนต์แท็กซี่เป็นพาหนะ แต่ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าอาวุธที่จำเลยใช้เป็นอาวุธปืนพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339,340 ตรี, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2514 ข้อ 14, 15จำคุก 18 ปี ข้อหาอื่นให้ยก ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นคนร้ายชิงทรัพย์ของผู้เสียหายไปจริง แต่เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยชิงเอาธนบัตร 740 บาท และตั๋วจำนำสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาทราคา 300 บาท รวมเป็นเงิน 1,040 บาทของผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยและสั่งให้ (จำเลย) คืนหรือใช้ราคาทรัพย์1,040 บาทแก่เจ้าทรัพย์ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนให้แก่ผู้เสียหาย ย่อมมีความหมายว่าสำหรับตั๋วจำนำนั้น ถ้าจำเลยไม่สามารถคืนได้ก็ให้จำเลยใช้เงินแก่ผู้เสียหาย300 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่ศาลฎีกาเห็นว่าข้อนี้ยังไม่ถูกต้องเพราะราคา 300 บาทนั้นเป็นราคาที่ผู้เสียหายจำนำสร้อยคอ หาใช่ราคาของเอกสารตั๋วจำนำไม่ ทั้งในสำนวนไม่ปรากฏด้วยว่าเอกสารตั๋วจำนำนี้มีราคาเท่าใด ศาลจึงไม่อาจสั่งให้จำเลยใช้ราคาตั๋วจำนำไปในคดีนี้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 40/2508 และ 1163/2509

จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะข้อที่สั่งให้จำเลยคือหรือใช้ราคาทรัพย์นั้นเป็นว่า ให้จำเลยคืนธนบัตรและตั๋วจำนำหรือใช้เงิน ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share