คำสั่งคำร้องที่ 1459/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2538 เมื่อถึงวันนัดจำเลยยื่นคำร้องขอนำเงิน 100,000 บาท มาวางศาลเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ขอให้ศาลงดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และขอให้ศาลมีคำสั่งให้คดีอาญาเลิกกัน ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในคำร้องของจำเลยว่า สั่งในรายงาน และได้มีคำสั่งเพิ่มเติมว่าจำเลยแถลงด้วยวาจาภายหลังขอฟังคำพิพากษา การที่ศาลชั้นต้น มีคำสั่งในคำร้องดังกล่าวและได้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป โดยอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้จำเลยฟังเป็นการ ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่ชอบ เพราะจำเลยยื่นคำร้อง ดังกล่าวในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลชั้นต้น จะต้องส่งคำร้องดังกล่าวให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 สั่ง ศาลชั้นต้น จะสั่งคำร้องดังกล่าวเองไม่ได้ และเงินจำนวน 100,000 บาท นั้นเป็นเงินที่จำเลยนำมาวางเพื่อชำระหนี้โจทก์ตามที่ได้ ตกลงกันไว้เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2538 โดยไม่มีเงื่อนไข เงินดังกล่าวจึงเป็นเงินของโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นอนุญาต ให้จำเลยรับเงินดังกล่าวคืนไป จึงไม่ถูกต้อง ขอให้ศาล มีคำสั่งให้ยกเลิกกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2538 ทั้งหมด โปรดอนุญาต หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 103) ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4(1) เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 2 เดือน รวมโทษทั้งสองกระทง เป็นจำคุก 4 เดือน ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เมื่อวันที่7 เมษายน 2538 เมื่อถึงวันนัดจำเลยยื่นคำร้องขอนำเงิน จำนวน 100,000 บาท มาวางศาลเพื่อชำระให้แก่โจทก์ ขอให้ศาล มีคำสั่งให้งดอ่านคำพิพากษาและมีคำสั่งให้คดีอาญาเลิกกัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าสั่งในรายงานและมีคำสั่งเพิ่มเติมว่า จำเลยแถลงด้วยวาจาภายหลังขอฟังคำพิพากษา จึงบันทึกไว้ (อันดับ 87) ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอรับเงินจำนวน 100,000 บาทที่จำเลยวางไว้ต่อศาลชั้นต้นคืน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต(อันดับ 89) โจทก์ฎีกา (อันดับ 100) โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 99)

คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไปเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบหรือไม่นั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้วก็เห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียเลย ศาลฎีกา เห็นว่า คดีนี้ สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ถึงวันนัดจำเลยขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาไปโดยจำเลยจะนำเงินมาชำระให้โจทก์เพื่อให้คดีอาญาเลิกกันศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาไป ครั้นถึงวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ดังกล่าว จำเลยยื่นคำร้องในวันนัดว่าได้นำเงินมาวางศาลเพื่อให้โจทก์รับไปขอให้งดการอ่านคำพิพากษา และมีคำสั่งว่าคดีอาญาเลิกกัน ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องว่า สั่งในรายงานฯ และมีคำสั่งเพิ่มเติมต่อมาว่าจำเลย แถลงด้วยวาจาภายหลังขอฟังคำพิพากษาจึงบันทึกไว้ แล้วอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไป การที่ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องว่าสั่งในรายงานฯ แล้วมิได้มีคำสั่งนั้นแต่อย่างใด เท่ากับยังมิได้สั่งรับคำร้องนั้น เมื่อจำเลยแถลงด้วยวาจา ขอฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งพอแปลได้ว่า ขอถอนคำร้อง ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้นนั้นเสียเพราะเป็นการขอทราบคำวินิจฉัย ของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงไม่ประสงค์จะให้คดีอาญาเลิกกันโดย การชำระเงินให้โจทก์ ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งได้ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไป จึงเป็นการ ดำเนินกระบวนพิจารณาชอบแล้ว ยกคำร้อง

Share