คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2205/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนังสือสัญญาต่อท้ายหนังสือจำนองมีข้อความว่า ผู้จำนองได้จำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันเงินซึ่งผู้จำนองเป็นหนี้ผู้รับจำนองอยู่ในเวลานี้หรือในเวลาใดเวลาหนึ่งต่อไปภายหน้าเป็นจำนวนเงิน 160,000 บาท หรือในเรื่องเงินจำนวนใดจำนวนหนึ่งซึ่งผู้จำนองเป็นหนี้ผู้รับจำนองอยู่ในเวลานี้หรือจะเป็นหนี้ต่อไปในภายหน้า ผู้จำนองยอมรับผิดชอบทั้งสิ้น ข้อความในสัญญาดังกล่าวในตอนแรกระบุว่า การจำนองรายนี้เป็นประกันหนี้เงิน 160,000 บาทซึ่งเท่ากับจำนวนเงินที่โจทก์กู้ยืมไปจากจำเลย ส่วนข้อความในตอนหลังที่ระบุให้การจำนองเป็นประกันเงินจำนวนใดจำนวนหนึ่งซึ่งผู้จำนองเป็นหนี้ผู้รับจำนองอยู่ในเวลานี้หรือจะเป็นหนี้ต่อไปในภายหน้านั้นไม่ได้ระบุให้ชัดแจ้งว่า ให้เป็นประกันถึงหนี้อันเกิดจากมูลละเมิดหรือหนี้อย่างอื่นคนละประเภทกันที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า กรณีจึงมีข้อสงสัย ดังนั้น การตีความถึงเจตนาของคู่สัญญาในกรณีที่มีข้อสงสัยเช่นนี้ ต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่คู่กรณีฝ่ายที่จะเป็นผู้ต้องเสียในมูลหนี้นั้น ต้องฟังว่าสัญญาจำนองรายนี้ไม่ได้ประกันถึงหนี้อันเกิดจากมูลละเมิดซึ่งโจทก์จะต้องรับผิดต่อจำเลยอีกประเภทหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้กับจำเลยเป็นเงิน 160,000 บาท เพื่อประกันหนี้เงินกู้ของโจทก์ที่มีต่อจำเลย จำนวน 160,000 บาท โจทก์ได้ผ่อนชำระหนี้เงินกู้ให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมไปจดทะเบียนปลดจำนองให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนปลดจำนองให้แก่โจทก์หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้ทำสัญญาจำนองเพื่อเป็นประกันหนี้ของโจทก์ซึ่งเป็นหนี้จำเลยอยู่ในขณะทำสัญญาจำนองหรือเวลาใดเวลาหนึ่งต่อไปในภายหน้า โจทก์ยังชำระหนี้ให้แก่จำเลยไม่ครบเพราะนอกจากหนี้เงินกู้แล้ว โจทก์ยังมีหนี้ซึ่งเกิดขณะโจทก์เป็นพนักงานของจำเลยและปฏิบัติหน้าที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยเป็นเงิน 1,000,000บาท หนี้ของโจทก์ที่จำนองเป็นประกันจึงยังไม่หมดไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนปลดจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ หากไม่ไปจดทะเบียนให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เดิมโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย ระหว่างที่โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยอยู่ โจทก์ได้กู้เงินจำเลยไป 160,000 บาท และโจทก์ได้นำที่ดินจำนองเป็นประกันเงินกู้ดังกล่าวไว้กับจำเลย ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเป็นเงิน 1,000,000 บาท โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีแรงงานว่าเลิกจ้างไม่เป็นธรรม คดีดังกล่าวศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลแรงงานกลางว่า โจทก์กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายเป็นเงิน 1,000,000 บาทจริง ให้ยกฟ้อง ส่วนหนี้เงินกู้ดังกล่าวข้างต้นโจทก์ได้ชำระให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว ปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกามีว่า การจำนองรายนี้ประกันถึงหนี้ที่โจทก์ทำละเมิดต่อจำเลยเป็นเงิน 1,000,000 บาท ตามคดีแรงงานดังกล่าวหรือไม่พิเคราะห์แล้ว ตามหนังสือสัญญาต่อท้ายหนังสือสัญญาจำนองดังกล่าวข้อ 1. มีข้อความว่าผู้จำนองได้จำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันเงินซึ่งผู้จำนองเป็นหนี้ผู้รับจำนองอยู่ในเวลานี้หรือในเวลาใดเวลาหนึ่งต่อไปในภายหน้าเป็นจำนวนเงิน 160,000 บาทหรือในเรื่องเงินจำนวนใดจำนวนหนึ่งซึ่งผู้จำนองเป็นหนี้ผู้รับจำนองอยู่ในเวลานี้หรือจะเป็นหนี้ต่อไปในภายหน้า ผู้จำนองยอมรับผิดชอบทั้งสิ้นนั้น เห็นว่า ข้อความในสัญญาดังกล่าวในตอนแรกระบุไว้ว่าการจำนองรายนี้เป็นประกันหนี้เงิน 160,000 บาท ซึ่งเท่ากับจำนวนเงินที่โจทก์กู้ยืมไปจากจำเลย ส่วนข้อความในตอนหลังที่ระบุให้การจำนองเป็นประกันเงินจำนวนใดจำนวนหนึ่งซึ่งผู้จำนองเป็นหนี้ผู้รับจำนองอยู่ในเวลานี้หรือจะเป็นหนี้ต่อไปในภายหน้านั้นไม่ได้ระบุให้ชัดแจ้งว่าให้เป็นประกันถึงหนี้อันเกิดจากมูลละเมิดหรือหนี้อย่างอื่นคนละประเภทกันที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า กรณีจึงมีข้อสงสัย หาใช่สัญญาระบุไว้ชัดแจ้งดังที่จำเลยฎีกาไม่ ดังนั้นการตีความถึงเจตนาของคู่สัญญาในกรณีที่มีข้อสงสัยเช่นนี้ ต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่คู่กรณีฝ่ายที่จะเป็นผู้ต้องเสียในมูลหนี้นั้นดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 11 ดังนั้นต้องฟังว่าสัญญาจำนองรายนี้ไม่ได้ประกันถึงหนี้อันเกิดจากมูลละเมิดซึ่งโจทก์จะต้องรับผิดต่อจำเลยอีกประเภทหนึ่งแต่ประการใด
พิพากษายืน

Share