คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4860/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามกฎกระทรวงฉบับที่6(พ.ศ.2535)ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถพ.ศ.2535ข้อ2(1)กำหนดจำนวนเงินค่าเสียหายเบื้องต้นว่าจำนวนเท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทสำหรับความเสียหายต่อร่างกายเมื่อโจทก์ได้จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลไปจำนวน14,413บาทจำเลยผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ไม่เกิน10,000บาทตามกฎกระทรวงดังกล่าวจำเลยจะขอเอาเงินที่โจทก์ได้รับชดใช้ตามสัญญาประกันชีวิตจากบริษัทม.มาหักมิได้เพราะเป็นเรื่องนิติสัมพันธ์ตามสัญญาระหว่างโจทก์กับบริษัทดังกล่าวโดยเฉพาะหานำมาลบล้างหน้าที่ตามกฎหมายของจำเลยได้ไม่และถือว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตมิได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 1 ช-9285 กรุงเทพมหานคร ไว้จากผู้มีชื่อในประเภทคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2538 โจทก์ขับรถยนต์คันดังกล่าวหักหลบรถอีกคันหนึ่งซึ่งไม่ทราบหมายเลขทะเบียน เป็นเหตุให้รถยนต์คันดังกล่าวแล่นเข้าชนแท่นปูนหน้าตู้ด่านเก็บเงินประชาชื่นช่องที่ 11 แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อกรุงเทพมหานคร และโจทก์ได้รับบาดเจ็บ โจทก์ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลไปเป็นเงิน 14,413 บาท จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 พฤษภาคม2538 ที่โจทก์ได้จ่ายเงินไปถึงวันฟ้องเป็นเงิน 90 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 14,503 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 14,413 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัยในวงเงินไม่เกิน 10,000 บาท ต่อคน โดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด ถ้าจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ก็รับผิดไม่เกิน10,000 บาท ปรากฏว่าโจทก์ได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลจากบริษัทประกันชีวิตแล้วเป็นเงิน 12,663 บาท หากจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ ก็รับผิดไม่เกิน 1,750 บาท ที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเต็มจำนวนที่โจทก์จ่ายไปเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 10,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องไม่เกิน 90 บาท ตามที่โจทก์ขอมา
จำเลยอุทธรณ์ข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ไม่ได้โต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน1 ช-9285 กรุงเทพมหานคร จากผู้มีชื่อในประเภทคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2538 โจทก์ขับรถยนต์คันดังกล่าวหักหลบรถยนต์คันอื่น เป็นเหตุให้รถยนต์คันดังกล่าวแล่นเข้าชนแท่นปูนหน้าตู้ด่านเก็บเงินถนนประชาชื่น โจทก์ได้รับบาดเจ็บและได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลไปเป็นเงิน 14,413 บาท ตามเอกสารหมายจ.4 กับโจทก์ได้รับค่าชดเชยจากบริษัทเมืองไทยประกันชีวิตจำกัดตามสัญญาประกันชีวิตที่โจทก์ทำไว้กับบริษัทไทยประกันชีวิตจำกัดจำนวน 12,663 บาท แล้ว จำเลยอุทธรณ์ว่าตามกฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 จำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าเสียหายแก่ผู้ประสบภัยตามความเป็นจริงเท่านั้นดังนั้น จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียง 1,750 บาทที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 10,000 บาทจึงขัดต่อกฎกระทรวงดังกล่าว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นขัดต่อกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 6(พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ข้อ 2(1) กำหนดจำนวนเงินค่าเสียหายเบื้องต้นว่าจำนวนเท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท สำหรับความเสียหายต่อร่างกาย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลไปจำนวน 14,413 บาท จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ไม่เกิน 10,000 บาท ตามกฎกระทรวงดังกล่าวจำเลยจะขอเอาเงินที่โจทก์ได้รับชดใช้ตามสัญญาประกันชีวิตจากบริษัทเมืองไทยประกันชีวิตจำกัด มาหักมิได้ เพราะเป็นเรื่องนิติสัมพันธ์ตามสัญญาระหว่างโจทก์กับบริษัทดังกล่าวโดยเฉพาะหานำมาลบล้างหน้าที่ตามกฎหมายของจำเลยได้ไม่ และถือว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตมิได้
พิพากษายืน

Share