แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และจำเลยที่ 6 เป็นเจ้าพนักงานได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจการจ้างการก่อสร้างบ้านพักครู 1 หลังมีหน้าที่ตรวจและควบคุมการจ้างให้ดำเนินไปตามข้อกำหนดในสัญญาแบบแปลนและแผนผัง เมื่อตรวจเห็นเป็นการถูกต้องแล้วให้รับมอบงานแล้วรายงานต่อผู้มีอำนาจสั่งจ้างทราบพร้อมด้วยหลักฐาน การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และจำเลยที่ 6 ได้ทำหลักฐานใบตรวจรับงานจ้างเหมาแจ้งว่าจำเลยที่ 7 ได้ก่อสร้างบ้านพักครูแล้วเสร็จตามสัญญาจ้าง ทั้ง ๆ ที่เป็นความเท็จโดยงานยังไม่แล้วเสร็จเป็นการรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162(4)และเป็นเหตุให้มีการเบิกจ่ายเงินค่าจ้างเหมาก่อสร้างให้จำเลยที่ 7 รับไป จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดได้รับความเสียหายมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,157, 162, 341, 83, 86, 90, 91 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11(พ.ศ. 2504) ข้อ 2 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41(พ.ศ. 2519) ข้อ 3 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญาพ.ศ. 2502 ข้อ 13 และขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4และที่ 7 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ 808/2532 ของศาลชั้นต้นเนื่องจากเป็นจำเลยคนเดียวกัน จำเลยทั้งเจ็ดให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 7 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 162, 341, 86, 83 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกคนละ 1 ปี จำเลยที่ 1ถึงที่ 5 กระทำผิดต่างกรรมต่างวาระกันให้จำคุกอีกคนละ 1 ปีรวมจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 คนละ 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 7 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 162, 86, 341, 91 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 157, 86 ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 7 กระทำผิด2 กรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ที่แก้ไขแล้ว ให้จำคุกกระทงละ 8 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 7 ไว้1 ปี 4 เดือน ส่วนคำขอให้นับโทษ ต่อนั้นไม่ปรากฏว่าคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อนั้นได้มีคำพิพากษาแล้วหรือไม่ จึงนับโทษต่อให้ไม่ได้ จำเลยทั้งเจ็ดฎีกา ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์ยื่นคำร้องว่าคดีหมายเลขดำที่ 808/2532 ของศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 คนละ 2 ปี จำคุกจำเลยที่ 7 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน ขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 3 ที่ 4 และที่ 7 ในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 808/2532 ด้วย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วในปัญหาที่ว่า จำเลยทั้งเจ็ดมีความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษมาเพียงใดหรือไม่นั้น เห็นว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชรได้มีคำสั่งที่ 580/2519หมาย จ.5 แต่งตั้งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และครูใหญ่โรงเรียนบ้านลานตาบัวเป็นกรรมการตรวจการจ้างในการก่อสร้างบ้านพักครูโรงเรียนบ้านลานตาบัว 1 หลัง ในวงเงิน 80,000 บาทต่อมาเมื่อครูใหญ่โรงเรียนบ้านลานตาบัวถึงแก่กรรม จำเลยที่ 6ซึ่งปฏิบัติราชการแทนครูใหญ่โรงเรียนบ้านลานตาบัวจึงเข้าเป็นกรรมการแทนครูใหญ่คนเดิมโดยตำแหน่งตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจ้างของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นพ.ศ. 2518 หมาย จ.6 ได้ระบุหน้าที่กรรมการตรวจการจ้างไว้ 5 ประการเช่นตรวจสัญชาติและจำนวนกรรมกรคนไทยที่ใช้ในการจ้าง ตรวจและควบคุมการจ้างให้ดำเนินไปตามข้อกำหนดในสัญญา แบบแปลน แผนผังตรวจและทำใบรับรองผลการปฏิบัติของผู้รับจ้างสำหรับการจ้างทั้งหมดหรือบางส่วนตามแบบหมายเลข 1 ท้ายระเบียบนี้ เมื่อตรวจเห็นเป็นการถูกต้องแล้วให้รับมอบของหรืองาน แล้วรายงานต่อผู้มีอำนาจสั่งจ้างทราบพร้อมด้วยหลักฐาน ฯลฯ การที่จำเลยที่ 1ถึงที่ 4 ได้ทำหลักฐานใบตรวจรับงานจ้างเหมาหมาย จ.9 และ จ.15แจ้งว่าจำเลยที่ 7 ได้ปฏิบัติตามสัญญาจ้างโดยก่อสร้างแล้วเสร็จตามสัญญาทั้งสองงวด และจำเลยที่ 6 ได้ทำหลักฐานใบตรวจรับงานจ้างเหมาหมาย จ.15 ว่า จำเลยที่ 7 ก่อสร้างแล้วเสร็จในงวดที่สองแล้ว ทั้ง ๆ ที่เป็นความเท็จนั้น เป็นการรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162(4) ดังที่โจทก์ฟ้อง การทำหลักฐานดังกล่าวเป็นเหตุให้มีการเบิกจ่ายเงินให้จำเลยที่ 7 รับไป 80,000 บาท จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานจึงปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดกำแพงเพชรได้รับความเสียหายต้องสูญเสียเงินจำนวนดังกล่าวไป จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย สำหรับจำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 7นั้น มิใช่เป็นเจ้าพนักงานจึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยอื่นกระทำผิดดังกล่าวตามที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยที่ 5 กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วยนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะตามฟ้องของโจทก์ปรากฏชัดว่าจำเลยที่ 5 ไม่ใช่เจ้าพนักงาน ทั้งโจทก์ก็ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 5 ฐานเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำผิดของเจ้าพนักงานเช่นเดียวกับจำเลยที่ 7 เท่านั้น สำหรับจำเลยที่ 7 นั้นได้รับเงินค่าก่อสร้างทั้งสองงวดเนื่องจากตนทำใบแจ้งหนี้เท็จ 2 ครั้ง โดยจำเลยอื่น ๆสนับสนุน จำเลยที่ 7 จึงมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 อีกบทหนึ่งด้วย ส่วนจำเลยอื่น ๆ นั้นมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 7 ในความผิดฐานฉ้อโกง จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบมาตรา 86 อีกบทหนึ่งด้วยเช่นเดียวกัน ข้อนำสืบของจำเลยทั้งเจ็ดไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานเอกสารของโจทก์ซึ่งบ่งชี้ชัดแจ้งโดยปราศจากข้อสงสัยได้ที่จำเลยทุกคนนำสืบทำนองว่าจำเลยกระทำการตามที่โจทก์ฟ้องโดยนายอำเภอพรานกระต่ายรู้เห็นและสนับสนุนให้ทำนั้นมาเป็นข้อแก้ตัวที่จะทำให้จำเลยทุกคนพ้นผิดไปได้ไม่ เพราะแม้หากนายอำเภอพรานกระต่ายจะมีคำสั่งให้จำเลยกระทำในสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยก็ไม่จำต้องปฏิบัติตามคำสั่งเช่นนั้น สำหรับบันทึกข้อความหมาย ล.2 ที่จำเลยที่ 7 ทำขึ้นเองและจำเลยส่งอ้างนั้นระบุชัดว่าจำเลยที่ 7 ได้รับเงินค่าก่อสร้างไปครบถ้วนจำนวน 160,000 บาทสำหรับค่าก่อสร้างบ้านพักรายพิพาทกับรายอื่นอีก 1 หลังขัดกับคำเบิกความของจำเลยที่ 7 ที่ว่า จำเลยที่ 7 ได้รับเงินเพียงงวดเดียวเป็นเงิน 35,000 บาท ที่จำเลยที่ 7 อ้างว่าไม่ได้ทำใบแจ้งหนี้หมาย จ.8 นั้นก็รับฟังไม่ได้เพราะปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าจำเลยที่ 7 ได้รับเงินตามใบแจ้งหนี้ดังกล่าว ฎีกาของจำเลยทั้งเจ็ดทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และจำเลยที่ 6มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 162(4) และมาตรา 341ประกอบด้วยมาตรา 86, 83 ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 6 กระทำผิดตามบทมาตราดังกล่าวเพียงกรรมเดียวให้ลงโทษจำคุก 1 ปี จำเลยที่ 1ถึงที่ 4 กระทำผิดตามบทมาตราดังกล่าว 2 กรรม จำคุกกระทงละ 1 ปีรวม 2 กระทง คงจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 คนละ 2 ปี จำเลยที่ 5มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 162(4), 341ประกอบด้วยมาตรา 86, 83 ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ประกอบด้วยมาตรา 86 อันเป็นบทหนัก จำเลยที่ 5 กระทำผิดตามบทมาตราดังกล่าวรวม 2 กระทง ให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 8 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 5 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 7 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 162(4) ประกอบด้วยมาตรา 86 และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 อีกบทหนึ่งด้วย ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ประกอบด้วยมาตรา 86 อันเป็นบทหนัก จำเลยที่ 7กระทำผิดตามบทมาตราดังกล่าว 2 กระทง ให้จำคุกกระทงละ 8 เดือนรวมจำคุกจำเลยที่ 7 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน ข้อหาอื่นตามฟ้องให้ยก ส่วนที่โจทก์ยื่นคำร้องมาในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาขอให้ศาลฎีกานับโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และจำเลยที่ 7 ในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 808/2532 ของศาลชั้นต้นโดยอ้างว่าคดีดังกล่าวศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 คนละ 2 ปี และจำคุกจำเลยที่ 7 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือนนั้นพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า โจทก์ไม่ระบุหมายเลขคดีแดงของศาลชั้นต้นสำหรับคดีหมายเลขดำที่ 808/2532 ของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อมาให้ศาลฎีกาทราบ ทั้ง ๆ ที่โจทก์สามารถระบุหมายเลขคดีแดงได้โดยง่ายในเมื่อโจทก์อ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีดังกล่าวแล้ว เมื่อศาลฎีกาไม่ทราบหมายเลขคดีแดงของคดีดังกล่าวจึงไม่เห็นสมควรที่จะนับโทษต่อให้ตามที่โจทก์ขอ ให้ยกคำขอส่วนนี้ของโจทก์เสีย