แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้คดีส่วนอาญาจะเป็นคำพิพากษาของศาลทหาร ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลก็จำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญานั้น ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 และพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2498 มาตรา 54
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายโจทก์ทั้งสาม โดยชกต่อยและใช้หลอดนีออนและไม้ตีทำร้ายเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ ๑ที่ ๒ ถูกฟ้องและศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) พิพากษาลงโทษคดีถึงที่สุดแล้ว ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์หากแต่โจทก์ทั้งสามกลุ้มรุมทำร้ายจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ก่อน จึงทำการตอบโต้เพื่อป้องกันตัวหากจะฟังว่าจำเลยเป็นฝ่ายละเมิดจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ก็ไม่ต้องรับผิดเพราะเป็นการสมัครใจวิวาทกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า กรณีเป็นเรื่องวิวาท ไม่เป็นละเมิด ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสาม
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกาว่าคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเป็นคำพิพากษาของศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ไม่ใช่ศาลพลเรือน ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งจึงไม่จำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าแม้คดีส่วนอาญาจะพิพากษาโดยศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลก็จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา ทั้งนี้ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๕๔ ข้อเท็จจริงจำต้องฟังว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ กระทำละเมิดต่อโจทก์ฝ่ายเดียวและวินิจฉัยเรื่องค่าเสียหายว่าที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้เป็นการชอบแล้ว
พิพากษายืน