แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องโดยขอให้นับโทษจำเลยต่อจากอีกคดีหนึ่งในศาลเดียวกัน โจทก์จะต้องขอมาในฟ้องหรือขอก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จะมาขอในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า นางสุมาลี ศรีเกตุ ซึ่งเป็นลูกวงแชร์ของจำเลยจะขายแชร์ ๒ มือ มือละ ๑๐,๕๐๐ บาท หักดอกเบี้ย ๒,๒๒๖ บาท โจทก์หลงเชื่อจึงรับซื้อไว้ โดยมอบเงินจำนวน ๑๘,๗๓๔ บาท ให้จำเลยไป ความจริง นางสุมาลี ศรีเกตุ ไม่ได้ขายแชร์นั้น โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษอีกคดีหนึ่งซึ่งศาลเดียวกันนั้นพิพากษาลงโทษจำเลยไปแล้ว
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่ให้ยกคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์
โจทก์ฎีกา ปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์มีสิทธิยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้ ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวว่า ในคดีอาญาหากโจทก์จะขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง ก็ต้องขอแก้ไขก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๖๓ ซึ่งบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งว่า “เมื่อมีเหตุอันควร โจทก์มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฯลฯ” คดีนี้ปรากฏว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นการต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว และการยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเพื่อขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีอื่นเช่นนี้ ศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยไว้แล้วว่าต้องขอก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๓๑ – ๑๘๓๓/๒๔๙๙ ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดอ่างทอง โจทก์ นายนิตย์ ไทรย้อยกับพวก จำเลย ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน