แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดโดยอาศัยคำเบิกความของผู้เสียหายเป็นหลัก เมื่อจำเลยอ้างคำเบิกความบางตอนของผู้เสียหายมาในอุทธรณ์และให้เหตุผลว่าเหตุใดจึงไม่ควรเชื่อคำเบิกความของผู้เสียหาย ถือว่าจำเลยได้ระบุข้อเท็จจริงโดยย่อที่ยกขึ้นอ้างอิงตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสองแล้ว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันลักทรัพย์ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากการกสิกรรมของผู้มีอาชีพกสิกรรมขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) (12), 83พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่5)พ.ศ. 2525 มาตรา 11 และขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์70 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 (7) (12), 83 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่5) พ.ศ. 2525 มาตรา 11 ลงโทษจำคุก 1ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 70 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์ (จำเลยมิได้ย่อทางนำสืบของโจทก์และจำเลยไว้ในอุทธรณ์)
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า อุทธรณ์จำเลยมิได้ระบุข้อเท็จจริงโดยย่อจึงขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 นั้น เห็นว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดโดยอาศัยคำเบิกความของผู้เสียหายเป็นหลัก จำเลยได้อ้างคำเบิกความบางตอนของผู้เสียหายมาในอุทธรณ์และให้เหตุผลว่าเหตุใดจึงไม่ควรเชื่อคำเบิกความของผู้เสียหาย ถือว่าจำเลยได้ระบุข้อเท็จจริงโดยย่อที่ยกขึ้นอ้างอิงตามมาตรา 193 วรรคสอง แล้ว และศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.