แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ 2 ประเภท คือ หนี้เงินกู้ประเภทหนึ่งและหนี้ค่าเช่าซื้อรถแทรกเตอร์อีกประเภทหนึ่ง โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามหนี้ทั้ง 2 ประเภทรวมกันไปยังจำเลย การที่โจทก์ทวงหนี้จำเลยทั้ง 2 ประเภท โดยทำหนังสือทวงถามฉบับเดียวกันจะแปลว่าหนี้ 2 ประเภทนั้นได้แปลงเป็นหนี้ใหม่แล้วหรือแปรสภาพเป็นหนี้เดียวกันแล้วหาได้ไม่เพราะการที่จะถือว่ามีการแปลงหนี้ใหม่จะต้องได้ความว่าคู่กรณีคือ โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้กัน แต่เรื่องนี้โจทก์จำเลยไม่ได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ ดังนี้แม้โจทก์ได้ยึดรถแทรกเตอร์จากจำเลยคืนไปอันอาจทำให้หนี้ค่าเช่าซื้อรถแทรกเตอร์ระงับไปก็ตาม ก็ไม่ทำให้หนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้อีกประเภทหนึ่งระงับไปด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์ จำนวน 220,000 บาทและสัญญาว่าจะชำระเงินกู้ดังกล่าวในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2526ต่อมาวันที่ 31 มีนาคม 2526 จำเลยชำระเงินให้โจทก์ 100,000 บาทแล้วไม่ชำระให้โจทก์อีก ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ จำเลยเคยเช่าซื้อรถแทรกเตอร์ จำนวน 2 คัน จากโจทก์ การผ่อนชำระค่าเช่าซื้อรถแทรกเตอร์ดังกล่าว จำเลยไม่สามารถผ่อนชำระให้โจทก์ติดต่อกันหลาย ๆ เดือน โจทก์ได้นำเงินค่างวดที่ค้างชำระคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย แล้วนำยอดหนี้ค้างชำระดังกล่าวไปเป็นหนี้เงินยืม จำเลยผิดสัญญาผ่อนชำระค่างวดรถทั้ง 2 คัน จนถึงปี พ.ศ. 2526 โจทก์ได้ให้จำเลยจ่ายเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาสุโขทัย ล่วงหน้าให้โจทก์หลายฉบับ รวมทั้งเช็คฉบับลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2526ที่ปรากฏในสัญญากู้เงินเอกสารท้ายฟ้องด้วย ต่อมาจำเลยส่งดราฟต์ธนาคารกรุงไทย จำกัด เลขที่ 089363 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2526ไปชำระให้โจทก์เป็นเงิน 100,000 บาท หลังจากนั้นจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์อีกหลายครั้ง รวมทั้งดราฟต์ธนาคารกรุงไทย จำกัดสาขาสุโขทัย เลขที่ 394992 ลงวันที่ 2 สิงหาคม 2526 จำนวนเงิน100,000 บาท โจทก์มิได้แยกว่าชำระหนี้ใดและทำบัญชียอมรับว่าจำเลยคงค้างชำระรวมกันต่อไป จึงเป็นการที่โจทก์สละสิทธิในยอดเงินยืมโดยยอดหนี้เงินยืมรวมกับหนี้ค่ารถแทรกเตอร์ที่จำเลยค้างชำระได้แปรสภาพเป็นหนี้ค่าเช่าซื้อรถแทรกเตอร์ และเมื่อปลายปี พ.ศ. 2528โจทก์เห็นว่าจำเลยค้างชำระหนี้แก่โจทก์เป็นการผิดสัญญา ได้ยึดรถแทรกเตอร์กลับคืนไป จึงไม่มีสัญญาเช่าซื้อต่อกันและถือว่าไม่มีหนี้สินต่อกันอีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ 2 ประเภท คือ หนี้เงินกู้ตามสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.3 จำนวน 220,000 บาทประเภทหนึ่งและหนี้ค่าเช่าซื้อรถแทรกเตอร์ 2 คัน เป็นเงินจำนวนหนึ่งตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 อีกประเภทหนึ่ง โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามหนี้ทั้ง 2 ประเภทรวมกันไปยังจำเลยตามเอกสารหมาย ล.3 จำเลยได้ส่งดราฟต์ไปชำระหนี้ให้แก่โจทก์ 2 ครั้ง ครั้งละ100,000 บาท ครั้งแรกโจทก์นำไปชำระเงินกู้ หักแล้วหนี้เงินกู้คงเหลือ 120,000 บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.5 ครั้งที่สองโจทก์นำไปชำระเป็นค่างวดค่าดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมผิดสัญญาเช่าซื้อรถแทรกเตอร์ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งโจทก์ได้แจ้งการชำระหนี้ดังกล่าวให้จำเลยทราบแล้ว ต่อมาจำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อรถแทรกเตอร์ โจทก์จึงยึดรถแทรกเตอร์ที่เช่าซื้อคืนทั้ง 2 คัน
จำเลยฎีกาว่า หนี้ 2 ประเภทดังกล่าวเมื่อโจทก์ทวงถามรวมกันมาหนี้ทั้ง 2 ประเภทนั้นย่อมแปรสภาพเป็นหนี้เดียวกัน การที่โจทก์ยึดรถแทรกเตอร์กลับไปย่อมทำให้หนี้ทั้งหมดระงับไป เห็นว่า การที่โจทก์ทวงหนี้จำเลยทั้ง 2 ประเภท โดยทำหนังสือทวงถามฉบับเดียวกันจะแปลว่าหนี้ 2 ประเภทนั้นได้แปลงเป็นหนี้ใหม่แล้วหรือแปรสภาพเป็นหนี้เดียวกันแล้วหาได้ไม่ เพราะการที่จะถือว่ามีการแปลงหนี้ใหม่จะต้องได้ความว่าคู่กรณีคือโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้กัน แต่เรื่องนี้ไม่ได้ความว่าโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้แต่ประการใดดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่าโจทก์ได้ยึดรถแทรกเตอร์จากจำเลยคืนไปอันอาจทำให้หนี้ค่าเช่าซื้อรถแทรกเตอร์ระงับไปก็ตาม หาทำให้หนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้อีกประเภทหนึ่งระงับไปด้วยไม่”
พิพากษายืน