คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทได้จากการขายทอดตลาดของศาลในคดีอื่นโดยสุจริต แต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 บัญญัติเพียงว่า สิทธิของผู้ซื้อไม่เสียไป แม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมิใช่ของจำเลย มิได้คุ้มครองถึงกับให้ผู้ซื้อได้สิทธิโดยปลอดจากภาระผูกพันใด ๆ ดังนั้นหากโจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย การจำนองย่อมติดไปกับที่ดิน โจทก์มีสิทธิบังคับจำนองที่ดินพิพาทได้ ผู้ร้องก็จะไม่มีสิทธิขอให้ปล่อยทรัพย์ดังกล่าว แต่ปรากฏว่าการจำนองที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยกระทำขึ้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่อาจอ้างสิทธิในฐานะผู้รับจำนองบังคับจำนองเอาแก่ที่ดินพิพาทได้ ต้องปล่อยที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องไป

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยฐานผิดสัญญาและขอบังคับจำนอง ศาลชั้นต้นได้พิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ 9 สิงหาคม 2528 แล้ว จำเลยผิดสัญญา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.)เลขที่ 4788 อ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินแปลงพิพาทที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องได้มาจากการขายทอดตลาดของศาล จึงได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายการจำนองที่ดินแปลงพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยมิได้มีการจดทะเบียนตามระเบียบและวิธีการของกรมที่ดิน จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธินำยึด ขอให้ศาลปล่อยทรัพย์คืนแก่ผู้ร้อง
โจทก์ให้การว่า ที่ดินแปลงพิพาทที่โจทก์นำยึด เป็นของจำเลยซึ่งได้นำไปจำนองเป็นประกันหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2526 การจดทะเบียนจำนองดังกล่าวทำโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ปล่อยที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส. 3 ก.) เลขที่ 4788 ตำบลจันจว้า อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทได้จากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้นโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2528ปรากฏว่าสารบบของที่ดินพิพาทและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทฉบับสำนักงานที่ดินได้สูญหายไปทั้งหมด ผู้ร้องได้นำรังวัดเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับใหม่แทนทางฝ่ายโจทก์ให้จำเลยกู้เงินเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2526 จำนวนเงิน250,000 บาท โดยเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2526 จำเลยได้จดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.)เลขที่ 1860 ตำบลจันจว้า อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ดังกล่าว ทั้งปรากฏตามสัญญาจำนองเอกสารหมาย ร.2 และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทฉบับเจ้าของที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ว่าเมื่อวันที่ 8 มีนาคม2526 จำเลยได้จำนองที่ดินพิพาทแก่โจทก์เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ดังกล่าวด้วย จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้และบังคับจำนองที่ดินทั้งสองแปลง มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ต่อมาจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความอีกโจทก์จึงนำยึดที่ดินพิพาทและที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1860 ดังกล่าว เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2528เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาท ปัญหามีว่า ผู้ร้องมีสิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทหรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริตแต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 บัญญัติเพียงว่าสิทธิของผู้ซื้อไม่เสียไป แม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมิใช่ของจำเลย มิได้คุ้มครองถึงกับให้ผู้ซื้อได้สิทธิโดยปลอดจากภาระผูกพันใด ๆ ดังนั้น หากโจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย การจำนองย่อมติดไปกับที่ดิน โจทก์มีสิทธิบังคับจำนองที่ดินพิพาทได้ ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้ปล่อยทรัพย์ดังกล่าว สำหรับปัญหาว่าโจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ นั้น… พยานหลักฐานผู้ร้องสอดคล้องต้องกันและมีน้ำหนักอันควรรับฟังยิ่งกว่าพยานหลักฐานโจทก์น่าเชื่อว่า มิได้มีการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่สำนักงานที่ดิน อำเภอแม่จันในวันที่ 8 มีนาคม 2526การจำนองที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นการจำนองที่มิชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่อาจอ้างสิทธิในฐานะผู้รับจำนองบังคับจำนองเอาแก่ที่ดินพิพาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้ปล่อยที่ดินพิพาท ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน

Share