แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 เป็นผู้ก่อเหตุขึ้น รุกรานเข้าไปยิงโดยเจตนาฆ่าจำเลยที่ 1 ถึงในบ้าน (โดยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิง 1 นัด จากลานบ้านขึ้นไปบนบ้าน) จำเลยที่ 1 จึงกระโดดจากชานลงไปที่โคนต้นมะม่วง ห่างจำเลยที่ 2 ประมาณ 2 เมตร จำเลยที่ 2 บรรจุกระสุนปืนอีก และจ้องปืนมาที่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงขักอาวุธปืนที่ติดตัวอยู่ยิงจำเลยที่ 2 ไป 3 นัด กระสุนปืนถูกโคนแขนจำเลยที่ 2 นัดเดียว ดังนี้ จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิที่จะทำการป้องกันตัวได้โดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่จำเป็นต้องหนีผู้ที่เข้ามากระทำผิดกฎหมายแก่ตน ในเหตุการณ์ฉุกละหุกเฉพาะหน้า ไม่แน่ว่าจำเลยที่ 2 จะยิงจำเลยที่ 1 อีกหรือไม่ จำเลยที่ 1 ไม่มีโอกาสคิดเป็นอย่างอื่น นอกจากยิงเพื่อป้องกันตนให้พ้นอันตรายเฉพาะหน้า เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ บังอาจมีอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ขนาด .๓๒ จำนวน ๑ กระบอก กับกระสุนปืนขนาด .๓๒ จำนวน ๕ นัด ซึ่งเป็นของบุคคลอื่นที่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ ไว้ในความครอบครองของจำเลยที่ ๑ โดยมิได้รับอนุญาต และจำเลยทั้งสองต่างบังอาจใช้อาวุธปืนยิงโดยเจตนาฆ่าซึ่งกันและกัน จำเลยทั้งสองลงมือกระทำความผิดตลอดแล้ว แต่ไม่บรรลุผล เพราะกระสุนปืนซึ่งจำเลยที่ ๑ ยิงจำเลยที่ ๒ หลายนัดนั้นถูกแขนจำเลยที่ ๒ นัดเดียว ได้รับอันตรายแก่กาย ไม่อาจทำให้จำเลยที่ ๒ ถึงแก่ความตายและกระสุนปืนที่จำเลยที่ ๒ ยิงจำเลยที่ ๑ จำนวน ๑ นัด ไม่ถูกจำเลยที่ ๑ เนื่องจากจำเลยที่ ๑ หลบได้ทัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐, ๙๑ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ ฯลฯ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่า มิได้กระทำความผิดฐานพยายามฆ่า จำเลยที่ ๑ รับสารภาพมีอาวุธปืน ฯ เครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองจริงดังฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐, ๙๑ ฯ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ ฯ จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐ ลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐ จำคุก ๑๐ ปี ลงโทษฐานมีอาวุธปืนฯ จำคุก ๖ เดือน ปรับ ๒,๐๘๐ บาท จำเลยที่ ๑ รับสารภาพฐานมีอาวุธปืนฯ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา ๗๘ จำคุก ๓ เดือน ปรับ ๑,๐๔๐ บาท รวมโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๑๐ ปี ๓ เดือน ปรับ ๑,๐๔๐ บาท ลงโทษจำเลยที่ ๒ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐ จำคุก ๑๐ ปี ฯลฯ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ ในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ให้รอการลงโทษจำเลยที่ ๑ ในความผิดฐานมีอาวุธนั้นไว้ในความครอบครองมิกำหนด ๑ ปี ฯ คงปรับสถานเดียว ฯลฯ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า วันเกิดเหตุจำเลยที่ ๒ มาขออนุญาตจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านจัดให้มีการเล่นการพนันกันที่งานวัดในหมู่บ้าน แต่จำเลยที่ ๑ ไม่ยอม จำเลยที่ ๒ ไม่พอใจ ต่อมาประมาณ ๒๐ นาฬิกา จำเลยที่ ๒ กับพวก ๖ – ๗ คนมาหาจำเลยที่ ๑ อีก ขณะนั้นจำเลยที่ ๑ นั่งคุยกับญาติอยู่ที่ชานบ้าน มีตะเกียงจุดไว้ดวงหนึ่ง จำเลยที่ ๒ เข้าไปยืนพูดท้าทายจำเลยที่ ๑ ใน บ้าน แล้วใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิงจำเลยที่ ๑ ก่อนกระสุนปืนลูกซองถูกฝาบ้านจำเลยที่ ๑ จำนวน ๙ รู และทะลุฝาไปถูกสังกะสีหลังคา ๘ รู เป็นการยิงจากพื้นดินปลายชานบ้าน จำเลยที่ ๒ จึงเป็นผู้ก่อเหตุขึ้น รุกรานเข้าไปยิงโดยเจตนาฆ่าจำเลยที่ ๑ ถึงในบ้าน จำเลยที่ ๑ ย่อมมีสิทธิที่จะทำการป้องกันตัวได้โดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่จำเป็นต้องหนีผู้ที่เข้ามากระทำผิดกฎหมายแก่ตน เมื่อจำเลยที่ ๒ ใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ ๑ แล้วยังไม่กลับออกจากบ้านจำเลยที่ ๑ ไป จำเลยที่ ๑ จึงกระโดดจากชานลงไปที่โคนต้นมะม่วง ห่างจำเลยที่ ๒ ประมาณ ๒ เมตร จำเลยที่ ๒ บรรจุกระสุนปืนอีก และจ้องปืนมาที่จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ มีอาวุธปืนอยู่ที่ตัว จำเลยที่ ๑ จึงชักอาวุธปืนนั้นยิงจำเลยที่ ๒ ในขณะเกิดเหตุการณ์ฉุกละหุกอยู่เฉพาะหน้า ไม่แน่ว่าจำเลยที่ ๒ ซึ่งถืออาวุธปืนจ้องอยู่ระยะใกล้นั้นจะยิงจำเลยที่ ๑ อีกหรือไม่ ฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ยิงเพื่อป้องกันตัว การที่จำเลยที่ ๑ ยิงปืนไป ๓ นัด กระสุนปืนถูกโคนแขนจำเลยที่ ๒ นัดเดียว แสดงว่าขณะยิงจำเลยที่ ๑ ไม่มีโอกาสคิดเป็นอย่างอื่นนอกจากป้องกันตนให้พ้นอันตรายเฉพาะหน้า การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุจำเลยที่ ๑ ไม่มีความผิด
ฯลฯ
พิพากษายืน.