แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284 เมื่อได้เงินมาพอจำนวนที่จำเลยจะต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์พร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียม (ในคดี) และค่าธรรมเนียม (ในการบังคับคดี) แล้ว หากมีทรัพย์ที่ยึดเหลืออยู่อีก เจ้าพนักงานบังคับคดีจะเอาทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาดต่อไปมิได้ ดังนั้น เมื่อขายทอดตลาดที่ดินโฉนดที่ 1713 ได้เงินมาพอชำระหนี้แล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินโฉนดที่ 1739 พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ยึดไว้ต่อไปอีก จึงเป็นการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยชอบที่จะขอให้งดการขายได้
ย่อยาว
ในชั้นบังคับคดี ตามคำพิพากษาถึงที่สุด ให้จำเลยชำระหนี้จำนวน ๓๓๐,๑๗๓.๖๓ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๒ ต่อปี ในต้นเงิน ๒๖๘,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จกับค่าธรรมเนียม และค่าทนายความ ๕๐๐ บาท นั้น จำเลยไม่ชำระหนี้ภายในกำหนด โจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยโฉนดที่ ๑๗๑๓ กับ๑๗๓๙ ตำบลบางนาค อำเภอเมือง จังหวัด นราธิวาส และนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินดังกล่าว ประกาศขายทอดตลาด ในที่สุดนายรุ่นประมูลให้ราคาที่ดินโฉนดที่ ๑๗๑๓ สูงสุดเป็นเงิน ๑,๔๔๓,๓๓๕ บาท ส่วนนายอมรเสนอราคาที่ดินโฉนดที่ ๑๗๓๙ สูงสุดเป็นเงิน ๑๕๑,๔๐๐ บาท จำเลยซึ่งไปดูการขายทอดตลาดคัดค้านว่าที่ดินโฉนดที่ ๑๗๓๙ ขายราคาต่อไปเจ้าพนักงานบังคับคดีทำรายงานเสนอให้ศาลชั้นต้นทราบถึงราคาที่ดินทั้งสองแปลงที่ขายทอดตลาดได้ ขอให้ศาลพิจารณาสั่งอีกครั้งหนึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ขายที่ดินของจำเลยไปทั้งสองแปลง จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านในวันนั้นว่า ที่ดินโฉนดที่ ๑๗๓๙ ผู้ประมูลที่เสนอราคาสูงสุด เสนอต่ำกว่าครั้งที่แล้ว และต่ำกว่าราคาปานกลางของทางราชการมาก จำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียง ๕๓๐,๐๐๐ บาทเศษ ขายทอดตลาดที่ดินโฉนดที่ ๑๗๑๓ เพียงแปลงเดียวได้เงิน ๑,๔๓๓,๓๓๕ บาท ก็เกินหนี้โจทก์แล้ว ขอให้ระงับการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดที่ ๑๗๓๙ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าอนุญาตให้ขายไปแล้ว ไม่มีเหตุจะให้ระงับการขายให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า เมื่อขายทอดตลาดที่ดินโฉนดที่ ๑๗๑๓ ของจำเลยไปแล้ว โจทก์ได้รับชำระหนี้ครบถ้วน ขอให้ระงับการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดที่ ๑๗๓๙ ของจำเลย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การประมูลขายทอดตลาดที่ดินโฉนดที่ ๑๗๑๓ เจ้าพนักงานบังคับคดีตกลงขายแก่ผู้ให้ราคาสูงสุดเป็นเงิน ๑,๔๔๓,๓๓๕ บาทเกินกว่าจำนวนเงินที่จำเลยจะต้องรับผิดในคดีนี้แล้ว การที่จำเลยฎีกาขอให้ระงับการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยโฉนดที่ ๑๗๓๙ นั้น (ศาลฎีกาเห็นว่า)ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๔ วรรคแรกบัญญัติว่า “เว้นแต่จะได้มีกฎหมายบัญญัติไว้หรือศาลจะได้มีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ห้ามมิให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเกินกว่าที่พอจะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมในคดี และค่าธรรมเนียมในการบังคับคดี อนึ่ง ถ้าได้เงินมาพอจำนวนที่จะชำระหนี้แล้ว ห้ามไม่ให้เอาทรัพย์ที่ยึดหรืออายัดออกขายทอดตลาดหรือจำหน่ายด้วยวิธีอื่น” ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวเมื่อได้เงินมาพอจำนวนที่จำเลยจะต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์พร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียม (ในคดี) และค่าธรรมเนียม (ในการบังคับคดี) แล้ว หากมีทรัพย์ที่ยึดเหลืออยู่ เจ้าพนักงานบังคับคดีจะเอาทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาด ต่อไปมิได้ ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขาย ทอดตลาดที่ดินโฉนดที่ ๑๗๑๓ ได้เงินมาพอชำระหนี้ที่กล่าวแล้ว การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินโฉนดที่ ๑๗๓๙ พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ยึดไว้ต่อไปอีก จึงเป็นการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนกฎหมายที่กล่าวแล้ว จำเลยชอบที่จะขอให้งดการขายได้
พิพากษากลับ.