คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1172/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์มีประจักษ์พยาน แต่คำเบิกความของประจักษ์พยานทั้งสามปากสับสนและขัดต่อเหตุผลเป็นเหตุให้ไม่น่าเชื่ออยู่หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความสนใจคนร้ายที่เดินเข้ามาในซอยเกิดเหตุ แสงสว่าง ตลอดจนการชี้ตัวคนร้ายที่สถานีตำรวจแสดงให้เห็นว่า การเห็นและจดจำคนร้ายของพยานโจทก์ทั้งสามไม่มีความแน่นอนรับฟังเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ พยานโจทก์จึงไม่น่าเชื่อถือประกอบกับข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยทำงานขยันขันแข็งและแม้หลังจากเกิดเหตุคดีนี้แล้วยังช่วยทำงานให้กับนายจ้างซึ่งเป็นน้องสาวของผู้เสียหายซึ่งไม่ยอมให้จำเลยลาออกจากงานอีกด้วย พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาไม่พอฟังว่าจำเลยเป็นคนร้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 83ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 470,000 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(7) วรรคสาม จำคุก 3 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 470,000 บาทแก่ผู้เสียหาย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายอนุสรณ์ มีสุข เด็กชายบูรณ์พิภพนพอินทร์ และเด็กชายบีหรือแป๊ะ แซ่เตี้ย ประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 1 นาฬิกา ขณะที่พยานกับพวกรวมประมาณ 10 คน กำลังร่วมร้องเพลงกันที่กองขยะตรงกันข้ามกับทาวน์เฮ้าส์ซึ่งเป็นที่จอดรถยนต์กระบะ ได้เห็นชายสองคนเดินเข้ามาในซอย เมื่อมาถึงที่รถยนต์กระบะจอดอยู่ชายคนหนึ่งเดินมาที่กองขยะทำท่าเหมือนจะปัสสาวะแต่ก็ไม่ปัสสาวะ ส่วนอีกคนหนึ่งจำได้ว่าคือจำเลยหยุดยืนอยู่ที่หลังรถยนต์กระบะ จากนั้นจำเลยกับพวกได้ช่วยกันงัดกระจกหลังของรถยนต์กระบะโดยกรีดยางขอบกระจกจนขาด แม้จำเลยมุดเข้าตัวรถจนได้แล้วเปิดประตูด้านซ้ายเพื่อให้พวกของจำเลยเข้าไปในรถ จากนั้นจำเลยกับพวกก็ขับรถยนต์คันดังกล่าวไป เมื่อพิเคราะห์คำเบิกความของพยานโจกท์ทั้งสามปากดังกล่าวนอกจากจะเกิดความสับสนแล้วยังขัดต่อเหตุผลอันเป็นเหตุให้ไม่น่าเชื่ออยู่หลายประการกล่าวคือ ตอนเกิดเหตุนายอนุสรณ์และเด็กชายบูรณ์พิภพเบิกความว่า บริเวณที่เกิดเหตุมืดมาก ขณะที่คนร้ายพากันเดินเข้าซอยมานั้น พยานโจทก์เหล่านี้ต่างก็กำลังร่วมกันร้องเพลงซึ่งเป็นที่เข้าใจได้ว่าทุกคนจะต้องสนใจในความสนุกสนานของบทเพลงย่อมจะไม่สนใจเรื่องอื่น ๆ รอบตัว ยิ่งเมื่อคนที่เดินเข้ามาในซอยเป็นบุคคลที่ตนรู้จักแม้ไม่เคยพูดคุยกันก็ยิ่งจะไม่สนใจดูด้วย ที่เกิดเหตุแม้จะมีแสงสว่างจากไฟฟ้าถนนและจากทาวน์เฮ้าส์ส่องสว่างแต่ตามแผนที่สังเขปแสดงที่เกิดเหตุตามเอกสารหมาย จ.8 หลอดไฟฟ้าน่าจะอยู่ห่างกันเพราะแม้จะมีแสงไฟฟ้าส่องสว่าง นายอนุสรณ์และเด็กชายบูรณ์พิภพยังเบิกความว่าบริเวณที่เกิดเหตุมืดมากอันเป็นเหตุให้การมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ไม่ชัดเจน ยิ่งในเวลากลางดึกเช่นนั้นและอยู่ห่างจุดเกิดเหตุย่อมจะมองเห็นวัตถุได้ไม่ชัดเจน ดังนั้น ที่พยานโจทก์ทั้งสามปากเบิกความว่า คนร้ายที่ไปหยุดอยู่ที่ท้ายรถยนต์กระบะคือจำเลยจึงไม่น่าเชื่อเพราะพยานโจทก์ทุกปากต่างยืนยันตรงกันว่าไม่เคยเห็นหน้าจำเลยมาก่อน นอกจากนี้ในชั้นชี้ตัวคนร้าย พยานโจทก์ทุกปากได้ไปที่สถานีตำรวจตำบลประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ เพียงเห็นจำเลยนั่งหันหลังคู่กับนายประเสริฐ มีถาวร พี่ชายจำเลยอยู่ต่อหน้าพนักงานสอบสวนนายอนุสรณ์โผล่หน้าเข้าไปในห้องสอบสวนแล้วพยักหน้าต่อพนักงานสอบสวนเลยว่าทั้งจำเลยและนายประเสริฐเป็นคนร้าย ส่วนเด็กชายบูรณ์พิภพและเด็กชายบีหรือแป๊ะกลับยืนยันแต่จำเลยคนเดียวว่าเป็นคนร้ายจึงแสดงให้เห็นว่าการเห็นและจดจำคนร้ายของพยานโจทก์ทั้งสามไม่มีความแน่นอนรับฟังเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นในการตอบคำถามค้านของทนายจำเลยเด็กชายบีหรือแป๊ะยังยืนยันอีกด้วยว่าคนร้ายทั้งสองคนมีผิวสีดำ ไม่มีหนวดผมไม่ยาวแต่ไม่สั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถมองเห็นรายละเอียดได้ถึงเพียงนั้นเพราะเวลานั้นดึกมากแล้วและอยู่ห่างจากคนร้าย พยานโจทก์ จึงไม่น่าเชื่อถือประกอบกับข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยทำงานขยันขันแข็งแม้หลังจากเกิดเหตุคดีนี้แล้วยังช่วยทำงานให้กับนายจ้างซึ่งก็เป็นน้องสาวของผู้เสียหายและไม่ยอมให้จำเลยลาออกจากงานอีกด้วย พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาจึงไม่พอฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายและคดีไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานฝ่ายจำเลยอีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share