คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3534/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พยานโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความสอดคล้องต้องกัน เมื่อไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุอันควรระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำหรือใส่ร้ายจำเลยให้ต้องได้รับโทษ โดยเฉพาะ ส. ไม่เคยรักใคร่ชอบพอกับจำเลยมาก่อนหากไม่เป็นความจริงแล้ว ส. คงจะไม่เบิกความถึงเรื่องน่าอับอายเช่นนี้จึงไม่น่าเชื่อว่าส. จะยินยอมให้จำเลยกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ เหตุที่ ส. ไม่ดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดข้อหาข่มขืนกระทำชำเราเพราะจำเลยขู่ว่าจะฆ่า ส. ย่อมจะเกิดความกลัว จึงหาใช่เป็นข้อพิรุธแต่อย่างใด
แม้ บ. ซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วมและพักอาศัยในร้านโจทก์ร่วมจะเปิดประตูให้จำเลยเข้าไปในร้านโจทก์ร่วมเนื่องจากจำเลยเป็นเพื่อนของ บ. ก็ตาม แต่การที่จำเลยออกมายืนอยู่ที่บันไดในร้านโจทก์ร่วมระหว่างชั้นที่ 3 กับชั้นที่ 4 เป็นการคอยเวลาและหาโอกาสก่อเหตุร้าย จึงเป็นการเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในเคหสถานของโจทก์ร่วม และเมื่อสบโอกาสโดยจำเลยพบเห็น ส. ที่บริเวณหน้าห้องน้ำจำเลยก็เข้ามาใช้มือปิดปากและลากตัว ส. เข้าไปข่มขืนกระทำชำเราในห้องทำแผ่นเทปภายในร้านโจทก์ร่วม ถือได้ว่าจำเลยเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในเคหสถานของโจทก์ร่วมโดยไม่มีเหตุอันสมควร จึงมีความผิดฐานบุกรุก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365(3)

จำเลยให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณา นายเทียนชัย พงศ์พลาญชัย ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365(3) ประกอบมาตรา 364 จำคุก 1 ปี

โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ร้านโจทก์ร่วมที่เกิดเหตุเป็นตึกแถว 1 คูหา มี 6 ชั้น โดยโจทก์ร่วมเปิดกิจการรับบันทึกเทปเพลงและให้ลูกจ้างพักอาศัยอยู่ด้วย ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายเข้าไปในร้านโจทก์ร่วมแล้วคนร้ายได้ข่มขืนกระทำชำเรานางสาวสุลัดดา วงษ์เจริญ ลูกจ้างของโจทก์ร่วมซึ่งพักอาศัยในร้านโจทก์ร่วมชั้นที่ 3 ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีนายเกียรติศักดิ์วงศ์ภักดี และนางสาวสุลัดดาเป็นพยาน โดยนายเกียรติศักดิ์เบิกความว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 19 นาฬิกา พยานซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วมและพักอาศัยในร้านโจทก์ร่วมชั้นที่ 2 ได้ออกไปหาเพื่อที่ท่าดินแดงแล้วกลับเข้ามาในร้านโจทก์ร่วมเวลาประมาณ 1 นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น โดยมีนายบรรจง ดวงนิล ลูกจ้างของโจทก์ร่วมอีกคนหนึ่งซึ่งพักอยู่ในร้านโจทก์ร่วมชั้นที่ 4 มาเปิดประตูให้ พยานเห็นรองเท้าทหาร 1 คู่ วางอยู่ที่ชั้นวางรองเท้าของลูกจ้าง จำได้ว่าเป็นของจำเลย เพราะก่อนหน้านี้พยานเคยเห็นจำเลยใส่รองเท้าดังกล่าวและจำเลยเคยเข้าไปในร้านโจทก์ร่วม 7 ถึง 8 ครั้ง ต่อมาเวลาประมาณ8 นาฬิกา พยานตื่นมาเห็นจำเลยเดินลงบันไดไปกับนายบรรจง พยานไม่ได้บอกให้โจทก์ร่วมทราบเพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย แต่เมื่อทราบว่าโจทก์ร่วมไปแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลย พยานจึงไปเป็นพยานให้แก่โจทก์ร่วมโดยให้การต่อพนักงานสอบสวน นางสาวสุลัดดาเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุพยานกับลูกจ้างผู้หญิงอีก 3 คน พักอาศัยในร้านโจทก์ร่วมชั้นที่ 3 ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 2 นาฬิกา พยานตื่นมาเข้าห้องน้ำในร้านโจทก์ร่วมชั้นที่ 4 ซึ่งมีนายบรรจงพักอาศัยอยู่ที่ชั้นดังกล่าว เมื่อพยานออกจากห้องน้ำเห็นจำเลย ซึ่งรู้จักมาก่อนยืนอยู่ที่บันไดระหว่างชั้นที่ 3 กับชั้นที่ 4 เห็นโดยอาศัยแสงสว่างจากไฟนีออน 2 หลอดที่ติดอยู่บนเพดานตรงกับบันได จำเลยเข้ามาใช้มือปิดปากและลากตัวพยานเข้าไปข่มขืนกระทำชำเราในห้องทำแผ่นเทปซึ่งอยู่ในร้านโจทก์ร่วมชั้นที่ 4 พร้อมกับขู่ว่าหากพยานบอกให้ผู้อื่นรู้ จะคอยมาตามรังควานและจะฆ่าพยานพยานกลัวจึงไม่กล้าบอกผู้ใด นอกจากนี้โจทก์และโจทก์ร่วมยังมีร้อยตำรวจเอกบุญมีจันทร์จวง ซึ่งเป็นผู้ร่วมจับกุมจำเลยเป็นพยานเบิกความว่า จำเลยยอมรับต่อหน้าพยานว่าได้เข้าไปในร้านโจทก์ร่วมแล้วข่มขืนกระทำชำเรานางสาวสุลัดดาจริง และได้ขอขมาโดยยกมือไหว้โจทก์ร่วมกับนางสาวสุลัดดาและบอกว่าจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับนางสาวสุลัดดาจะไปเสียให้พ้น เห็นว่า พยานโจทก์และโจทก์ร่วมดังกล่าวเบิกความสอดคล้องต้องกันเมื่อไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุอันควรระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำหรือใส่ร้ายจำเลยให้ต้องได้รับโทษ โดยเฉพาะนางสาวสุลัดดาไม่เคยรักใคร่ชอบพอกับจำเลยมาก่อน หากไม่เป็นความจริงแล้วนางสาวสุลัดดาคงจะไม่เบิกความถึงเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ จึงไม่น่าเชื่อว่านางสาวสุลัดดาจะยินยอมให้จำเลยกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ เหตุที่นางสาวสุลัดดาไม่ดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดข้อหาข่มขืนกระทำชำเราก็ได้ความว่าจำเลยขู่ว่าจะฆ่า นางสาวสุลัดดาย่อมจะเกิดความกลัว จึงหาใช่เป็นข้อพิรุธแต่อย่างใด พยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมได้ แม้นายบรรจงซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วมและพักอาศัยในร้านโจทก์ร่วมจะเปิดประตูให้จำเลยเข้าไปในร้านโจทก์ร่วม เนื่องจากจำเลยเป็นเพื่อนของนายบรรจงก็ตาม แต่การที่จำเลยออกมายืนอยู่ที่บันไดในร้านโจทก์ร่วมระหว่างชั้นที่ 3 กับชั้นที่ 4 เป็นการคอยเวลาและหาโอกาสก่อเหตุร้าย จึงเป็นการเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในเคหสถานของโจทก์ร่วม และเมื่อสบโอกาสโดยจำเลยพบเห็นนางสาวสุลัดดาที่บริเวณหน้าห้องน้ำ จำเลยก็เข้ามาใช้มือปิดปากและลากตัวนางสาวสุลัดดาเข้าไปข่มขืนกระทำชำเราในห้องทำแผ่นเทปภายในร้านโจทก์ร่วมกรณีถือได้ว่าจำเลยเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในเคหสถานของโจทก์ร่วมโดยไม่มีเหตุอันสมควรจึงมีความผิดฐานบุกรุกตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share