แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในศาลชั้นต้นเมื่อพะยานจำเลยเบิกความโจทก์มิได้คัดค้านข้อความเหล่านั้นไว้โจทก์จะมาอุทธรณ์ฎีกาในข้อความเหล่านั้นไม่ได้
โจทก์ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินราคา 800 บาท และเรียกค่าเสียหายไม้ที่ปลูก 400 บาทเศษศาลชั้นต้นให้ที่เป็นของโจทก์ ส่วนต้นไม้เป็นของจำเลย ศาลอุทธรณ์ตัดสินยกฟ้องทั้งหมดโจทก์ฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินพิพาทราคา ๘๐๐ บาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ อย่าให้จำเลยเกี่ยวข้องและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายที่ตัดไม้โกงกาง ๔๓๗ บาท
จำเลยต่อสู้ว่า ทีพิพาทเป็นที่ว่างเปล่ามไม่มีเจ้าของจำเลยได้เข้ายึดถือปลูกต้นโกงกางและครอบครองมาโดยความสงบเและเปิดเผย
ศาลชั้นต้น ฟังว่าไม้โกงกางจำเลยเป็นผู้ปลูก ส่วนที่ดิพิพาทเป็นของโจทก์ พิพากษาห้ามจำเลยเกี่ยวข้องที่พิพาท
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ฟังว่า ไม้โกงกางจำเลยเป็นผู้ปลูกและที่ดินที่พิพาทก็เป็นของจำเลย พิพากษาแก้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ไม้โกงกางจำเลยเป็นผู้ปลูกโดยรับฟังคำนางทุยและคำนายแพพะยานจำเลยสนับสนุนด้วย โจทก์ฎีกาว่าพะยานทั้งสองปากนี้ไม่ควรรับฟังเพราะจำเลยมิได้ถามค้านพะยานโจทก์ไว้ในข้อความเหล่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ในศาลชั้นต้นเมื่อพะยานจำเลยทั้งสองเบิกความถึงข้อความเหล่านั้น โจทก์หาได้คัดค้านไว้ไม่ โจทก์จะมาอุทธรณ์ฎีกาในข้อนี้ไม่ได้แล้วฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยปกครองมากว่า ๑๐ ปี ที่จึงเป็นของจำเลย จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์