คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 220/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

นายทะเบียนบริษัทขีดชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ออกเสียจากทะเบียน และออกแจ้งความโฆษณาในหนังสือราชกิจจานุเบกษาแล้วบริษัทจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นอันเลิกกันตั้งแต่วันที่โฆษณาแจ้งความดังกล่าวตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1246(5)ซึ่งเป็นกรณีที่บริษัทเลิกโดยผลของกฎหมายไม่มีความจำเป็นต้องสืบพยานถึงเหตุที่จะให้เลิกบริษัทจำเลยที่ 1 และเมื่อไม่ปรากฏว่าบริษัทจำเลยที่ 1ผู้ถือหุ้นหรือเจ้าหนี้ของบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1246(6)บริษัทจำเลยที่ 1 จึงไม่อาจกลับคืนขึ้นทะเบียนได้
เมื่อบริษัทจำเลยที่ 1 เลิกกันโดยไม่มีผู้ชำระบัญชีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1251 วรรคสอง ถ้าศาลเห็นสมควร ศาลย่อมมีอำนาจตั้งเจ้าพนักงานกรมบังคับคดีกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้ชำระบัญชีได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการ จำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นกรรมการ โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทจำเลยที่ 1จำเลยทั้งสี่ไม่เคยเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ไม่ทำบัญชีงบดุล และไม่เคยจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่ประกอบการค้าเกิน 1 ปีแล้ว การค้าทำไปมีแต่ขาดทุนและไม่มีทางหวังว่าจะกลับฟื้นตัวได้ นายทะเบียนบริษัทได้ขีดชื่อบริษัทจำเลยที่ 1ออกจากทะเบียนและแจ้งความโฆษณาในหนังสือราชกิจจานุเบกษาแล้ว ขอให้สั่งเลิกบริษัทจำเลยที่ 1 และตั้งโจทก์เป็นผู้ชำระบัญชี

จำเลยทั้งสี่ให้การว่า จำเลยที่ 1 ประชุมผู้ถือหุ้น ทำงบดุลถูกต้องและแบ่งเงินปันผลในปีแรก ไม่มีเหตุเลิกบริษัทจำเลยที่ 1 และชำระบัญชี หากโจทก์เป็นผู้ชำระบัญชีจะทำให้บริษัทจำเลยที่ 1 เสียหาย การที่นายทะเบียนบริษัทขีดชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ออกจากทะเบียนไม่เป็นเหตุให้บริษัทจำเลยที่ 1 สิ้นสภาพนิติบุคคล

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า บริษัทจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลมีจำเลยที่ 2เป็นกรรมการผู้จัดการ จำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นกรรมการ โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทจำเลยที่ 1มิได้ค้าขาย นายทะเบียนบริษัทขีดชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ออกจากทะเบียนและออกแจ้งความโฆษณาในหนังสือราชกิจจานุเบกษาแล้ว และยังไม่มีการชำระบัญชีบริษัทจำเลยที่ 1

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อนายทะเบียนบริษัทขีดชื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ออกเสียจากทะเบียนและออกแจ้งความโฆษณาในหนังสือราชกิจจานุเบกษาแล้ว บริษัทจำเลยที่ 1 ก็เป็นอันเลิกกันตั้งแต่เมื่อโฆษณาแจ้งความตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1246(5) ซึ่งเป็นกรณีที่บริษัทจำเลยที่ 1 เลิกโดยผลของกฎหมาย จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสืบพยานถึงเหตุจะให้เลิกบริษัทจำเลยที่ 1 ต่อไป และไม่ปรากฏว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ผู้ถือหุ้น หรือเจ้าหนี้ของบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1246(6) บริษัทจำเลยที่ 1 จึงไม่อาจกลับคืนขึ้นทะเบียนได้ และเมื่อปรากฏว่าโจทก์เป็นเพียงพนักงานของบริษัทจำเลยที่ 1 มิใช่กรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 ทั้งพี่ชายโจทก์มีปัญหาเรื่องการเงินอยู่กับบริษัทจำเลยที่ 1 ถึงแก่บริษัทจำเลยที่ 1 ร้องทุกข์และฟ้องต่อศาล โจทก์จึงไม่สมควรเป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัทจำเลยที่ 1 การที่บริษัทจำเลยที่ 1 เลิกกันโดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 มิได้เข้าเป็นผู้ชำระบัญชี แสดงว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่มีผู้ชำระบัญชีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1251 วรรคสอง และในฎีกาของโจทก์ก็ไม่ขัดข้องที่ศาลจะตั้งผู้อื่นเป็นผู้ชำระบัญชีศาลฎีกาจึงเห็นสมควรตั้งผู้ชำระบัญชีเพื่อชำระบัญชีบริษัทจำเลยที่ 1ต่อไป

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ตั้งเจ้าพนักงานกรมบังคับคดีกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้ชำระบัญชีบริษัทจำเลยที่ 1

Share