แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเข้าไปปลูกสร้างอาคารในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่าจากเจ้าของเดิมก่อนโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาท และเมื่อโจทก์รับโอนที่พิพาทมาแล้ว ก็ยังให้จำเลยเช่าต่อมา แล้วโจทก์บอกเลิกการเช่า จำเลยไม่ยอมออกไป การที่จำเลยยังคงอยู่ในที่พิพาทไม่ยอมออกไป ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของโจทก์ และยักย้ายหรือทำลายเครื่องหมายเขต โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์หรือรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไป จำเลยเพิกเฉย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๓๖๓, ๓๖๕ และให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ให้จำเลยและบริวารออกไปจากมที่ดินโจทก์ กับให้ใช้ค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนอาญา คงรับเฉพาะคดีส่วนแพ่ง
โจทก์อุทธรณ์ ขอให้ประทับฟ้องคดีส่วนอาญา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานบุกรุก ขอให้ประทับฟ้อง
มีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาโจทก์ว่า เมื่อจำเลยฝ่าฝืนสัญญาเช่าที่ดินตามฟ้องต่อเจ้าของเดิมและต่อโจทก์ผู้รับโอนที่พิพาทมา และโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาต่อจำเลยแล้ว จำเลยไม่ยอมออกไป การอยู่ในที่พิพาทในระยะต่อมา จะถือว่าจำเลยมีความผิดฐานบุกรุกหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จะเป็นความผิดฐานบุกรุกตามบทมาตราที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยนั้น ต้องเป็นการเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้น หรือเข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเข้าไปปลูกสร้างอาคารในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าจากเจ้าของเดิมก่อนโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทมา และเมื่อโจทก์รับโอนที่พิพาทมาแล้ว โจทก์ยังให้จำเลยเช่าต่อมาด้วย หาใช่จำเลยเพิ่งเข้าไปครอบครองที่พิพาทในวันเวลาที่โจทก์ฟ้องไม่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกตามฟ้องของโจทก์
พิพากษายืน