แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยร่วมกันปลอมบัตรประจำตัวประชาชนและปลอมตั๋วแลกเงินในระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2518 ถึงวันที่ 4 เมษายน 2518เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265, 266,91 แต่จำเลยร่วมกันนำบัตรประจำตัวประชาชนและตั๋วแลกเงินที่ปลอมขึ้นนั้นไปใช้ด้วยจึงต้องลงโทษแต่ละกระทงฐานใช้กระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรค 2 และเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 342ต้องลงโทษฐานใช้ตั๋วแลกเงินปลอมอันเป็นบทหนักตามมาตรา 268ประกอบด้วยมาตรา 266,90
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2518 ถึงวันที่ 4 เมษายน2518 ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกัน จำเลยทั้งสองกับพวกได้บังอาจร่วมกันทำเอกสารราชการบัตรประจำตัวประชาชนปลอม ในชื่อ น.ส.บังอร ศิริวงศ์และอัดรูปของจำเลยที่ 1 ลงในบัตรประจำตัวประชาชนนั้น ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่า จำเลยที่ 1 คือนางสาวบังอร ศิริวงศ์ และจำเลยกับพวกได้บังอาจร่วมกันทำเอกสารตั๋วแลกเงิน (ดร๊าฟท์) ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิของธนาคารกรุงเทพจำกัดสาขาพลับพลาไชย ปลอมขึ้นทั้งฉบับ สั่งจ่ายเงินตามคำสั่งของ น.ส.บังอร ศิริวงศ์จำนวน 220,000 บาท ถึงธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาพิษณุโลก เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นตั๋วแลกเงินอันแท้จริงของธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาพลับพลาไชยและเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2518 เวลากลางวัน จำเลยบังอาจร่วมกันใช้และอ้างตั๋วแลกเงินกับบัตรประจำตัวประชาชน ฉบับที่จำเลยร่วมกันทำปลอมขึ้นดังกล่าวไปแสดงต่อสมุหบัญชีของธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาพิษณุโลก ว่าเป็นตั๋วแลกเงินและบัตรประจำตัวประชาชนที่แท้จริง เพื่อขอรับเงินจากธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาพิษณุโลกเจตนาทุจริต โดยหลอกลวงว่าจำเลยที่ 1 คือนางสาวบังอร ศิริวงศ์ ผู้มีสิทธิรับเงินตามตั๋วดังกล่าว อันเป็นการแสดงตนเป็นคนอื่นและปกปิดความจริงที่ควรบอกให้แจ้งว่าตั๋วแลกเงินและบัตรประจำตัวประชาชนดังกล่าวเป็นของปลอม จนเป็นเหตุให้สมุหบัญชีธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขา พิษณุโลก หลงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 คือนางสาวบังอร ศิริวงศ์ และตั๋วแลกเงินกับบัตรประจำตัวประชาชนดังกล่าวเป็นเอกสารที่แท้จริง จึงได้จ่ายเงิน 220,000 บาท ของธนาคารกรุงเทพ สาขาพิษณุโลก ให้แก่จำเลยที่ 1 ไป เหตุเกิดที่แขวงและเขตไม่ปรากฏชัดในกรุงเทพมหานครที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 266, 268, 341, 342, 83 คืนเงินของกลาง 220,000 บาท แก่เจ้าของ และริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265, 266, 268, 342 สำหรับความผิดฐานทำและใช้บัตรประจำตัวประชาชนปลอม ตามมาตรา 265 และมาตรา 268 ให้ลงโทษตามมาตรา 268 จำคุกคนละ 1 ปีความผิดฐานทำและใช้ตั๋วแลกเงินปลอม ตามมาตรา 266 และมาตรา 268 ให้ลงโทษตามมาตรา 268 จำคุกคนละ 3 ปี และความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 342 ให้จำคุกคนละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยคนละ 5 ปี จำเลยรับสารภาพ ลดโทษให้ตามมาตรา 78 คนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยคนละ 2 ปี 6 เดือน คืนเงิน 220,000 บาทแก่เจ้าของ ส่วนของกลางอย่างอื่นให้ริบ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ การที่จำเลยใช้และอ้างตั๋วแลกเงินกับบัตรประจำตัวปลอม เป็นการกระทำกรรมเดียวกันคือ ใช้และอ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 กับมาตรา 266 ในคราวเดียวกัน ต้องลงโทษฐานใช้หรืออ้างเอกสารปลอมเพียงกระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสองการกระทำของจำเลยฐานฉ้อโกงเป็นการกระทำกรรมเดียวกับการใช้และอ้างเอกสารปลอมการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวกัน แต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท คือ ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 265, 266 และผิดมาตรา 342 ต้องลงโทษตามมาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 266 อันเป็นบทหนัก ตามมาตรา 90 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 266 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 จำเลยที่ 1 อายุ 19 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้ตามมาตรา 76 กึ่งหนึ่งให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 3 ปี มีเหตุบรรเทาโทษเพราะจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ตามมาตรา 78 คนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้มีกำหนด 9 เดือน และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้เรียงกระทงลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยร่วมกันปลอมบัตรประจำตัวประชาชนและปลอมตั๋วแลกเงินในระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2518 ถึงวันที่ 4 เมษายน 2518 นั้นย่อมเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265,266, 91 แต่จำเลยร่วมกันนำบัตรประจำตัวประชาชนและตั๋วแลกเงินที่ปลอมขึ้นไปใช้ด้วย จึงต้องลงโทษแต่ละกระทงฐานใช้กระทงเดียว ตามมาตรา 268 วรรคสอง แต่การใช้ในคราวเดียวกันเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 342 โดยจำเลยร่วมกันหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงที่ควรบอกให้แจ้งเพื่อให้ได้ทรัพย์สิน คือ เงิน220,000 บาท จากธนาคาร ย่อมเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานใช้ตั๋วแลกเงินปลอมอันเป็นบทหนัก ตามมาตรา 268 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 266, 90 สำหรับจำเลยที่ 1 อายุเพียง 19 ปีสมควรลดมาตราส่วนโทษให้ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 76 ให้หนึ่งในสาม
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า จำเลยที่ 1 อายุ 19 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 แล้ว ให้จำคุก 2 ปี แต่มีเหตุบรรเทาโทษเพราะจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์