คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2199/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ช่วยติดต่อขายที่ดินให้จำเลยสำเร็จ เป็นกิจการที่ทำให้แก่กันโดย พฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จ ถือได้ว่าตกลงกันโดย ปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 846 วรรคแรก ส่วนข้อตกลงให้เงินส่วนที่เกินจากราคาที่ดินที่จำเลยกำหนดไว้ 2,000,000 บาทเป็นค่าบำเหน็จแก่โจทก์นั้นเป็นข้อตกลงพิเศษส่วนหนึ่งต่างหากแยกจากกัน แม้จำเลยจะขายที่ดินให้แก่ ฉ. ในราคา 2,000,000 บาทก็ตามโจทก์ก็ยังมีสิทธิได้ค่าบำเหน็จ และเมื่อไม่ได้ความว่าค่าบำเหน็จนั้นได้ตกลงกันเป็นจำนวนเท่าใดและไม่ปรากฏธรรมเนียมในการนี้โดยชัดแจ้ง ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดให้เท่าที่กำหนดได้ตามสมควร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินของโจทก์รวม 4 แปลง เนื้อที่ประมาณ 69 ไร่ 3 งานมีข้อตกลงว่าหากโจทก์จัดการขายที่ดินดังกล่าวได้ราคาเกิน 2,000,000 บาท แล้วส่วนที่เกินนั้นจำเลยยินยอมยกให้โจทก์เป็นค่าบำเหน็จทั้งสิ้น ต่อมาโจทก์ได้เสนอขายที่ดินของจำเลยให้แก่นายเฉลิม วัชรถานนท์ ในราคา2,500,000 บาท แต่ต่อมานายเฉลิมได้พบกับจำเลยและจำเลยได้โอนขายที่ดินทั้ง 4 แปลงนั้นให้แก่นายเฉลิมในราคา 2,000,000 บาทเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าบำเหน็จให้แก่โจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่านายหน้าให้แก่โจทก์ตามธรรมเนียมร้อยละ 5 ของราคาที่ดินที่จำเลยขายไป 2,000,000 บาท คิดเป็นเงินค่าบำเหน็จ100,000 บาท โจทก์ได้ทวงถามแล้วจำเลยก็เพิกเฉย ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 101,875 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน100,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินให้และไม่เคยตกลงว่าจะให้ค่าบำเหน็จใด ๆ แก่โจทก์ โจทก์ไม่ได้เป็นผู้ติดต่อหรือชี้ช่องให้นายเฉลิมไปซื้อที่ดินของจำเลย และโจทก์ก็ไม่เคยแจ้งให้จำเลยทราบล่วงหน้าว่านายเฉลิมจะไปติดต่อซื้อที่ดินจากจำเลย จำเลยขายที่ดินไปเพียง 2,000,000 บาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จเพราะขายที่ดินได้ไม่เกิน 2,000,000บาท และไม่อาจถือได้ว่ามีการตกลงเป็นจำนวนตามธรรมเนียม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงินจำนวน 50,000 บาท พร้อมกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยรับกันและฟังได้ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้ให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินของโจทก์ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลเนินหอม อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี รวม 4 แปลง ตามโฉนดที่ดินและ น.ส.3เอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.5 โดย มีข้อตกลงว่าถ้าโจทก์ขายที่ดินของจำเลยได้เงินเกินกว่า 2,000,000 บาท ซึ่งเป็นราคาขายที่จำเลยตั้งไว้เท่าใด ส่วนที่เกินนั้นจำเลยยอมยกให้เป็นค่าบำเหน็จแก่โจทก์ทั้งสิ้น และโจทก์เป็นผู้ชี้ช่องให้จำเลยขายที่ดินให้แก่นายเฉลิม วัชรถานนท์ แต่จำเลยขายที่ดินให้แก่นายเฉลิมในราคา2,000,000 คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในชั้นนี้แต่เพียงว่า โจทก์มีสิทธิได้รับค่านายหน้าจากจำเลยหรือไม่เพียงใดจำเลยฎีกาว่า กรณีในคดีนี้ ข้อตกลงเกี่ยวกับเรื่องค่าบำเหน็จนายหน้าระหว่างโจทก์กับจำเลยได้ตกลงกันไว้ชัดแจ้ง มิใช่ตกลงกันโดย ปริยาย ต้องถือหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 845 จะถือหลักเกณฑ์ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 846 ไม่ได้ นั้น เห็นว่า การที่โจทก์ช่วยติดต่อขายที่ดินของจำเลยสำเร็จย่อมเป็นกิจการที่ทำให้แก่กันโดย พฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่า ย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จ จึงถือได้ว่าได้ตกลงกันโดย ปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 846 วรรคแรก ส่วนข้อตกลงให้เงินส่วนที่เกินจากราคาที่ดินที่จำเลยกำหนดไว้ 2,000,000 บาท เป็นค่าบำเหน็จแก่โจทก์นั้น เป็นข้อตกลงพิเศษส่วนหนึ่งต่างหากแยกจากกัน แม้จำเลยจะขายที่ดินให้แก่นายเฉลิมในราคา 2,000,000 บาทก็ตาม จำเลยก็ยังมีสิทธิได้ค่าบำเหน็จ แต่เมื่อไม่ได้ความว่า ค่าบำเหน็จนั้นได้ตกลงกันเป็นจำนวนเท่าใด และไม่ปรากฏธรรมเนียมในการนี้โดยชัดแจ้งศาลย่อมมีอำนาจกำหนดให้เท่าที่กำหนดได้ตามสมควร”
พิพากษายืน

Share