แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2531 เวลา10 นาฬิกา จำเลยที่ 4 ทราบนัดโดยชอบแล้ว ไม่มาศาลและไม่ได้มอบฉันทะให้ผู้ใดมาฟังคำพิพากษาแทน ศาลชั้นต้นจึงอ่านคำพิพากษาให้คู่ความที่มาศาลฟัง จึงถือว่าวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2531 เป็นวันที่พิพากษา จำเลยที่ 4 ยื่นอุทธรณ์วันที่ 15 เมษายน 2531 ซึ่งพ้นกำหนดเวลาหนึ่งเดือน โดยอ้างว่าจำเลยที่ 4 ได้ทำคำแถลงมอบฉันทะให้เสมียนทนายมาขอคัดหรือถ่ายคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ศาลแจ้งว่าศาลได้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาไป จะเลื่อนไปอ่านวันใดศาลจะออกหมายนัดส่งไปให้จำเลยที่ 4 ทราบเอง แม้จะฟังได้ว่าเป็นความจริง เสมียนทนายก็ควรที่จะได้ยื่นคำแถลงต่อศาลตามหน้าที่ที่ตนได้รับมอบฉันทะมา เพื่อที่ศาลจะได้มีคำสั่งให้ปรากฏชัดแจ้งว่าศาลมิได้อ่านคำพิพากษาในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2531 จริง หาใช่เพียงแต่เชื่อตามคำบอกเล่าลอย ๆ ของเจ้าหน้าที่ศาล คดีจึงไม่จำเป็นต้องไต่สวนคำร้องขอยื่นอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4.
ย่อยาว
จำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องว่า ในวันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาฝ่ายจำเลยที่ 4 ไม่มีผู้ใดมาศาล จึงไม่ทราบว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาในวันดังกล่าวหรือไม่ จำเลยที่ 4 ได้ทำคำแถลงขอคัดถ่ายสำเนาคำพิพากษามอบฉันทะให้เสมียนทนายมาดำเนินการแทน ปรากฏว่าในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2531 เจ้าหน้าที่ผู้รับคำแถลงแจ้งให้เสมียนทนายจำเลยที่ 4 ทราบว่า ศาลได้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาไป ส่วนจะเลื่อนไปวันใดนั้น ศาลจะออกหมายนัดส่งไปให้จำเลยที่ 4 ทราบทนายจำเลยที่ 4 รอรับหมายศาลอยู่จนกระทั่งเห็นว่านานพอสมควรจึงได้วิทยุสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่กองกฎหมาย ซึ่งประจำอยู่ที่โครงการชลประทานปัตตานี เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2531 จำเลยที่ 4จึงทราบว่าศาลได้อ่านคำพิพากษาแล้ว จึงไม่อาจยื่นอุทธรณ์ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด และเหตุที่จำเลยที่ 4 ไปทราบคำพิพากษาเกิดจากเจ้าหน้าที่ศาลแจ้งต่อเสมียนทนายจำเลยว่า ศาลเลื่อนวันอ่านคำพิพากษาหาใช่เกิดจากความผิดของจำเลยที่ 4 ไม่ จึงขอให้ศาลไต่สวนและอนุญาตให้จำเลยที่ 4 ยื่นอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 4
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง
จำเลยที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปรากฏตามสำเนาว่าศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2531 เวลา 10 นาฬิกา และได้แจ้งนัดให้จำเลยที่ 4 ทราบนัดโดยชอบแล้ว ครั้นถึงวันนัดจำเลยที่ 4 ไม่มาศาลและไม่ได้มอบฉันทะให้ผู้ใดมาฟังคำพิพากษาแทน ศาลชั้นต้นจึงอ่านคำพิพากษาให้คู่ความที่มาศาลฟัง โดยได้จดแจ้งไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาว่า จำเลยที่ 4 ทราบนัดแล้วไม่มาศาล ศาลได้อ่านคำพิพากษาให้คู่ความที่มาศาลฟังแล้ว ดังนั้นจึงถือว่าวันที่1 กุมภาพันธ์ 2531 เป็นวันที่พิพากษาคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 14013) จำเลยที่ 4 ยื่นอุทธรณ์วันที่ 15 เมษายน (2531) จึงพ้นกำหนดเวลาหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 229 ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 เห็นว่าการที่จำเลยที่ 4 อ้างว่าจำเลยที่ 4 ได้ทำคำแถลงมอบฉันทะให้เสมียนทนายมาขอคัดค้านหรือถ่ายคำพิพากษา เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์2531 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่ศาลได้อ่านคำพิพากษาไปแล้วเจ้าหน้าที่ศาลแจ้งแก่เสมียนทนายจำเลยที่ 4 ว่าศาลได้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาไป ส่วนจะเลื่อนไปวันใดนั้นศาลจะออกหมายนัดส่งไปให้จำเลยที่ 4 ทราบเองนั้น แม้จะฟังได้ว่าเป็นความจริง แต่เสมียนทนายก็ควรที่จะได้ยื่นคำแถลงที่จำเลยที่ 4 ขอคัดหรือถ่ายคำพิพากษาต่อศาลตามหน้าที่ที่ตนได้รับมอบฉันทะมา เพื่อที่ศาลจะได้มีคำสั่งให้ได้ความปรากฏชัดแจ้งว่าศาลมิได้อ่านคำพิพากษาในวันที่ 1กุมภาพันธ์ 2531 ตามที่นัดไว้ และได้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาไปจริงหาใช้เพียงแต่เชื่อตามคำบอกเล่าลอย ๆ ของเจ้าหน้าที่ศาลไม่กรณีเป็นเรื่องผู้รับมอบฉันทะไม่มีประสิทธิภาพถือได้ว่าเป็นความบกพร่องของจำเลยที่ 4 เอง ไม่พอฟังว่าที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาไปนั้นไม่ชอบแต่ประการใด คดีจึงไม่จำเป็นจะต้องไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 4 ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยื่น ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องขอให้ไต่สวนและอนุญาตให้จำเลยที่ 4ยื่นอุทธรณ์นั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 4 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.