คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2274/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลอ่านอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังครั้งแรกจำเลยที่ 2 ปฏิเสธในวันเดียวกันขอให้การใหม่เป็นรับสารภาพฐานรับของโจรตามฟ้อง ตามคำให้การที่ศาลจดไว้ที่จำเลยที่ 2 แถลงต่อศาลว่ากระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์เพราะจำเลยที่ 1 นำเช็คมาให้และบอกว่าให้เอาไปขึ้นเงินเป็นค่าเช่าบ้านนั้น เพื่อขอให้บรรเทาโทษลงโทษโดยสถานเบา ไม่ใช่คำให้การว่ามิได้มีเจตนากระทำความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ กับพวกได้ร่วมกันพาอาวุธปืน ฯ กระทำการปล้นทรัพย์ หลายรายการ และจำเลยที่ ๒ ได้รับเอาเช็คเงินสดไว้จากพวกของจำเลยที่ ๑ โดยรู้แล้วว่าเช็คดังกล่าวเป็นทรัพย์ซึ่งจำเลยที่ ๑ กับพวกได้มาจากการกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ จำเลยที่ ๒ ซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสีย แล้วนำไปขึ้นเงินที่ธนาคารกรุงเทพฯ จำกัด เพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, ๓๔๐ ตรี, ๓๕๗ ฯลฯ
เมื่อศาลอ่านอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้ว จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพฐานมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาอาวุธปืนและฐานปล้นทรัพย์ และปฏิเสธในความผิดฐานมีวัตถุระเบิดไว้ในความครอบครอง จำเลยที่ ๒ ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทุกข้อหา
ในวันนั้นเองจำเลยที่ ๒ ขอให้การใหม่รับสารภาพฐานรับของโจรตามฟ้อง ศาลชั้นต้นสั่งให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ โจทก์จำเลยไม่สืบพยานเฉพาะจำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๗ จำคุก ๓ ปี รับสารภาพลดกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๑ ปี ๖ เดือน
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ความผิดฐานรับของโจรจะผิดต่อเมื่อผู้รับเอาทรัพย์รู้ว่าเป็นของที่ได้มาจากการกระทำความผิด จำเลยที่ ๒ แถลงต่อศาลชั้นต้นว่าทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แสดงว่ามิได้มีเจตนากระทำความผิด เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน จึงลงโทษจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อศาลอ่านอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังครั้งแรก จำเลยที่ ๒ ให้การปฏิเสธ ในวันเดียวกันขอให้การใหม่รับสารภาพฐานรับของโจรตามฟ้องตามคำให้การที่ศาลจดไว้ ที่จำเลยแถลงต่อศาลว่ากระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะจำเลยที่ ๑ นำเช็คมาให้ และบอกว่าให้เอาไปขึ้นเงินเป็นค่าเช่าบ้านนั้น เพื่อขอให้บรรเทาโทษไม่ใช่ให้การว่ามิได้มีเจตนากระทำความผิด
พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีสมควรรอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด ๕ ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖

Share