แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
สัญญาซึ่งใช้ชื่อว่าสัญญาเช่าซื้อและข้อความตามสัญญายังมีข้อตกลงว่าถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัด ผิดสัญญา ให้ผู้ให้เช่าซื้อริบบรรดาเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ใช้มาแล้ว และผู้ให้เช่าซื้อเข้าครอบครองรถยนต์เป็นของตนดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 574 แม้สัญญาดังกล่าวไม่มีข้อความระบุไว้ว่า เมื่อผู้เช่าซื้อชำระเงินครบถ้วนแล้ว ให้กรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินที่เช่าซื้อตกเป็นของผู้เช่าซื้อก็ตาม แต่มาตรา 572 ได้บัญญัติในเรื่องเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อไว้ว่าเป็นสัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่าโดยมีเงื่อนไขว่า เมื่อผู้เช่าซื้อได้ใช้เงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในสัญญาแล้ว ให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าซื้อและสัญญาเช่าซื้อต้องทำเป็นหนังสือ ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือตกเป็นโมฆะตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว เมื่อผู้เช่าซื้อได้ใช้เงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในสัญญาแล้ว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าซื้อย่อมตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าซื้อ ทั้งนี้โดยผลของกฎหมายซึ่งบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดแล้ว ดังนี้ แม้สัญญามิได้ระบุข้อความดังกล่าวไว้ก็หาขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าวและหาทำให้ไม่เป็นสัญญาเช่าซื้อไม่ การที่โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยในค่าเสียหายจากจำเลยในอัตราร้อยละ15 ต่อปีนั้น ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยในค่าเสียหายดังกล่าวนี้เป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าวิธีหนึ่ง มีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ ถ้ากำหนดไว้สูงเกินส่วน ศาลอาจลดลงเป็นจำนวนที่พอสมควรได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้เช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดนัด ขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหาย 71,280 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินรวม 21,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า สัญญาตามเอกสารหมาย จ.3 เป็นสัญญาเช่าซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 572 แล้ว หาใช่เป็นสัญญาซื้อขายผ่อนส่งหรือสัญญาซื้อขายโดยมีเงื่อนไขตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่นั้น เห็นว่า สัญญาดังกล่าวนอกจากใช้ชื่อว่าสัญญาเช่าซื้อแล้ว ข้อความตามสัญญายังมีข้อตกลงว่าถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัด ผิดสัญญา ให้ผู้เช่าซื้อริบบรรดาเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ใช้มาแล้ว และผู้ให้เช่าซื้อเข้าครอบครองรถยนต์เป็นของตนดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 574 แม้สัญญาดังกล่าวไม่มีข้อความระบุไว้ว่า เมื่อผู้เช่าซื้อชำระเงินครบถ้วนแล้ว ให้กรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินที่เช่าซื้อตกเป็นของผู้เช่าซื้อก็ตาม แต่มาตรา 572 ได้บัญญัติในเรื่องเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อไว้ว่า เป็นสัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่าโดยมีเงื่อนไขว่า เมื่อผู้เช่าซื้อได้ใช้เงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในสัญญาแล้ว ให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าซื้อ และสัญญาเช่าซื้อต้องทำเป็นหนังสือ ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือตกเป็นโมฆะ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวจึงเห็นได้ว่า เมื่อผู้เช่าซื้อได้ใช้เงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในสัญญาแล้วกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าซื้อย่อมตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าซื้อ ทั้งนี้โดยผลของกฎหมายซึ่งบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งแล้ว ดังนี้ แม้สัญญาดังกล่าวมิได้ระบุข้อความดังกล่าวไว้ก็หาขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าวและหาทำให้ไม่เป็นสัญญาเช่าซื้อแต่ประการใดไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามสัญญาไม่มีข้อความให้คำมั่นว่าโจทก์จะขายทรัพย์สินให้หรือว่าจะให้ทรัพย์สินตกเป็นสิทธิแก่จำเลย จึงไม่เป็นสัญญาเช่าซื้อนั้นเป็นการไม่ชอบ ถือว่าสัญญาตามเอกสารหมาย จ.3 เป็นสัญญาเช่าซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 แล้ว
ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามที่โจทก์ฟ้องนั้น โจทก์มีนายสุทธิพงษ์ สุทธิธนะวัฒน์เป็นพยานเบิกความว่า จำเลยที่ 1 ได้เช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าไปจากโจทก์ในราคา 187,194 บาท โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันปรากฏตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.3 และสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.4 ตามลำดับ จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์เพียง 2 งวด แล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์จำเลยที่ 1 จึงเป็นอันเลิกกันทันทีเมื่อโจทก์นำรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อไปขายไม่คุ้มราคาที่เช่าซื้อ จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์พร้อมกับค่าเสียหายอื่น ๆ ของโจทก์ด้วยตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.3ข้อ 10 หลังจากสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน จำเลยที่ 1 ไม่ส่งคืนรถที่เช่าซื้อให้แก่โจทก์ได้ครอบครองรถโจทก์อยู่เป็นเวลา 2 เดือนโจทก์จึงยึดคืนมาได้เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2527 โจทก์จึงขอคิดค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 ครอบครองรถโจทก์อยู่เดือนละ 4,350 บาทเพราะโจทก์อาจนำไปให้เช่าได้ค่าเช่าในอัตราดังกล่าว และโจทก์ได้เสียค่าใช้จ่ายในการติดตามรถเป็นเงิน 1,000 บาท รถที่โจทก์ยึดคืนจากจำเลยที่ 1 โจทก์ประมูลขายไปได้เงินเพียง 110,000 บาทปรากฏตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.6 ขาดจากจำนวนที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้ออยู่ 68,280 บาท รวมค่าเสียหายของโจทก์77,980 บาท แต่โจทก์ขอคิดจากจำเลยที่ 1 เพียง 71,280 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาเห็นว่า จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์เพียง 2 งวด เป็นเงิน8,914 บาท พิเคราะห์พฤติการณ์ทางได้เสียของโจทก์แล้ว ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมาเป็นจำนวนที่พอสมควรแล้ว แต่ที่โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยในค่าเสียหายจากจำเลยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนั้นเห็นว่าข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยในค่าเสียหายดังกล่าว เป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าวิธีหนึ่ง มีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับถ้ากำหนดไว้สูงเกินส่วน ศาลอาจลดลงเป็นจำนวนที่พอสมควรได้ซึ่งการที่กำหนดไว้อัตราร้อยละ 15 ต่อปีนั้น เป็นจำนวนที่สูงเกินไป เห็นควรลดลงเหลือเพียงร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จำเลยที่ 1ผู้ทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันจึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน71,280 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์