คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2191/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำสั่งของศาลที่จะเป็นที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 309 จะต้องเป็นกรณีที่ผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินที่จะขายทอดตลาดร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรวมหรือแยกทรัพย์สิน หรือขอให้ขายทรัพย์สินนั้นตามลำดับที่กำหนดไว้ หรือร้องคัดค้านคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่สั่งให้ขายทอดตลาดทรัพย์สินตามมาตรา 309(1)(2) และ (3) และเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ยอมปฏิบัติตามคำร้องหรือคำคัดค้านเช่นว่านั้น ผู้ร้องได้ยื่นคำขอต่อศาลโดยทำเป็นคำร้องภายใน 2 วันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิเสธเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งชี้ขาดเรื่องนั้น คำสั่งชี้ขาดของศาลจึงจะเป็นที่สุด แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 972 รวมกับที่ดินแปลงอื่นรวม 10 โฉนดในคราวเดียวกันต่อศาลชั้นต้นโดยตรงก่อนการขายทอดตลาดกรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 309ดังกล่าว คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องของโจทก์จึงยังไม่เป็นที่สุด.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากจำเลยไม่ชำระหนี้เงินให้โจทก์ตามคำพิพากษาที่พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยจำนวน 20 แปลง เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้
เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศขายทอดตลาดที่ดินที่ยึดในวันที่18 สิงหาคม 2529 ถึงวันนัดเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานต่อศาลว่าผู้รับมอบอำนาจโจทก์และจำเลยมาศาล และมีผู้ประสงค์จะมาทำการซื้อทรัพย์ประมาณ 15 คน แต่โจทก์ยื่นคำแถลงขอเลื่อนการขายไปสักนัดอ้างว่าสำนักงานใหญ่ของโจทก์ได้กำหนดราคาในการสู้ราคาในการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองโฉนดเลขที่ 932, 2286, 2287, 2288, 2289,2290, 2291, 2292, 2293 และ 2285 รวม 10 โฉนดคราวเดียวกันแต่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้กำหนดให้ขายแยกเป็นแปลง ซึ่งผู้รับมอบอำนาจโจทก์จำเป็นที่จะต้องเสนอขออนุมัติสำนักงานใหญ่ของโจทก์เสียก่อน จึงขอให้เลื่อนการขายทอดตลาดทรัพย์จำนอง ศาลชั้นต้นสั่งในคำแถลงของโจทก์ว่าสั่งในรายงานเจ้าหน้าที่และสั่งในรายงานของเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า ทรัพย์ที่ยึดไว้ในคดีนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศขายแยกเป็นแปลง ๆ แล้วเป็นเวลา 1 เดือนเศษมาแล้วโจทก์มิได้มาร้องขอต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีให้รวมขายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 แต่เพิ่งมาร้องขอในวันนี้ โดยทำเป็นคำแถลง จึงไม่ถูกต้องตามกฎหมายและตามคำแถลงของโจทก์อ้างว่าจะให้เลื่อนการขายไปเพื่อรออนุมัติจากสำนักงานใหญ่ซึ่งเป็นเรื่องภายในของโจทก์เอง นำมาอ้างต่อศาลไม่ได้ และวันนี้มีผู้ซื้อทรัพย์มาพร้อมหากเลื่อนการขายไปอาจเป็นการเสียหายแก่จำเลยจึงให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทรัพย์ไปตามที่ประกาศไว้ ยกคำแถลงของโจทก์
โจทก์ยื่นคำร้องในวันเดียวกันในเวลาต่อมาว่า โดยเหตุที่ที่ดินโฉนดดังกล่าวรวม 10 แปลงนั้น เป็นที่ดินซึ่งมีการแบ่งแยกเป็นแปลงย่อยมาจากที่ดินแปลงใหญ่คือที่ดินโฉนดเลขที่ 932 ดังนั้นจึงจะต้องขอให้ขายที่ดินที่แบ่งแยกดังกล่าวรวม 10 แปลงรวมกันไป เพราะหากขายเป็นรายแปลงจะมีปัญหาเรื่องทางเข้าออกของที่ดินแต่ละแปลงซึ่งไม่สามารถออกสู่ถนนได้ จึงจำเป็นต้องขอให้ขายรวมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินบางแปลงและทำให้ได้ราคา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ได้สั่งไปในรายงานของเจ้าหน้าที่แล้วและเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 309 ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม
เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการขายทอดตลาดไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้นโดยขายได้เพียง 4 แปลง
ต่อมาโจทก์และจำเลยต่างยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ดินทั้งสี่แปลง
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของโจทก์และจำเลย
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนคำสั่งขายที่ดินโฉนดเลขที่ 932 ของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นประกาศขายใหม่โดยให้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 932 รวมกับที่ดินโฉนดเลขที่ 2285 ถึง 2293 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลย และผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามฎีกาของผู้ร้องที่ว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งในคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 18 สิงหาคม 2529 ที่ขอให้ขายที่ดิน 10 แปลงรวมกันไปเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 นั้น เห็นว่า คำสั่งของศาลที่จะเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309จะต้องเป็นกรณีที่ผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินที่จะขายทอดตลาดร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรวมหรือแยกทรัพย์สิน หรือขอให้ขายทรัพย์สินนั้นตามลำดับที่กำหนดไว้หรือร้องคัดค้านคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่สั่งให้ขายทอดตลาดทรัพย์สินตามมาตรา309(1) (2) และ (3) และเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ยอมปฏิบัติตามคำร้องหรือคำคัดค้านเช่นว่านั้น ผู้ร้องได้ยื่นคำขอต่อศาลโดยทำเป็นคำร้องภายใน 2 วันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิเสธเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งชี้ขาดในเรื่องนั้น คำสั่งชี้ขาดของศาลจึงจะเป็นที่สุด แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 932 รวมกับที่ดินแปลงอื่นรวม 10 โฉนดในคราวเดียวกันต่อศาลชั้นต้นโดยตรงก่อนการขายทอดตลาด กรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 309 ดังกล่าว คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งคำร้องของโจทก์จึงยังไม่เป็นที่สุด ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้นปัญหาต่อไปมีว่าสมควรให้ขายทอดตลาดที่ดินโฉนดที่ 932 รวมกับที่ดินอีก 9 โฉนด ดังที่ปรากฏในคำร้องของโจทก์ตามฎีกาของโจทก์จำเลย ผู้ร้องหรือไม่ ได้ความตามฎีกาของจำเลยโดยคู่ความอื่นไม่ได้โต้แย้งว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 932 มีเนื้อที่ 77 ไร่เศษ จำเลยทำผังแบ่งแยกเป็นแปลงเล็ก ๆ เพื่อแบ่งขายหรือทำเป็นที่ดินจัดสรร ที่แบ่งแยกแล้วมีโฉนดเลขที่ 2285-2293 รวม 9 โฉนด ปรากฏตามแผนที่สังเขปยึดทรัพย์ของจำเลยของเจ้าพนักงานบังคับคดี ประกอบกับได้ความตามฎีกาของโจทก์โดยคู่ความอื่นไม่ได้โต้แย้งเช่นกันว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 2285-2293 เป็นที่ดินรวมอยู่ในที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 932 และไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ นอกจากจะผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 932เมื่อเป็นเช่นนี้เป็นที่เห็นได้ชัดว่าถ้าจะให้แยกขายเป็นรายแปลงที่ดินโฉนดเลขที่ 2285-2293 จะขายได้ในราคาต่ำ น่าจะได้ขายรวมกันไปกับที่ดินโฉนดเลขที่ 932 ดังนั้นคำขอของโจทก์ที่ขอให้รวมขายที่ดินโฉนดเลขที่ 932 กับเลขที่ 2285-2293 จึงมีเหตุผลสมควร และน่าที่จะดำเนินการให้ตามที่โจทก์ขอ ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 1555-1557 รวม3 แปลง ยังไม่สมควรขายให้แก่ผู้ซื้อเพราะราคาต่ำไปตามฎีกาของโจทก์และจำเลยหรือไม่ ได้ความตามฎีกาของจำเลยประกอบกับแผนที่สังเขปยึดทรัพย์ของจำเลยว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 1555-1557 ตั้งอยู่ริมถนนไปชายทะเลท้ายเหมือง เป็นที่ดินอยู่ในทำเลดีเหมาะแก่การปลูกบ้านพักอาศัยตากอากาศหรือทำการค้า จำเลยติดต่อผู้มีชื่อและตกลงจะซื้อแล้วราคาไม่ต่ำกว่าตารางวาละ 3,000 บาท แต่ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขายแก่นายไมตรี เอี่ยมวรกุล ตกราคาตางรางวาละ 1,602 บาทเท่านั้น เห็นว่า ถึงแม้การขายที่ดินทั้งสามแปลงนี้จะขายได้ในราคาสูงกว่าราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้ก็ตาม แต่ก็น่าเชื่อว่ายังเป็นราคาที่ต่ำไป และตามฎีกาของจำเลยก็ทักท้วงว่าผู้ประมูลสู้ราคาในวันนั้นก็มีเพียงกลุ่มผู้ประมูลราคาสูงสุดเพียงกลุ่มเดียวราคาย่อมถูกกดให้ต่ำได้และโจทก์จำเลยซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการขายทอดตลาดโดยตรง ก็คัดค้านต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีตั้งแต่ต้นแล้วว่าราคาที่ผู้ประมูลซื้อให้ราคาสูงสุดสำหรับการขายครั้งนี้ยังอยู่ในราคาต่ำมาก นอกจากนั้นยังเป็นการขายครั้งแรก กับทั้งไม่ปรากฏว่านายไมตรี เอี่ยมวรกุล ผู้ประมูลซื้อได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์หรือคำแก้ฎีกาคัดค้านแต่ประการใด จึงสมควรที่จะสั่งเพิกถอนการขายที่ดินทั้งสามแปลงนี้ด้วยเช่นเดียวกัน…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนคำสั่งขายที่ดินโฉนดเลขที่1155,1156 และ 1157 ของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการขายใหม่นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ”

Share