คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2189/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่ประสงค์จะบังคับคดีแก่จำเลย โจทก์ย่อมขอถอนการบังคับคดีได้โดยแจ้งไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นหนังสือว่าตนสละสิทธิในการบังคับคดีนั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 295 (2) เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับหนังสือนั้นแล้ว การถอนการยึดทรัพย์ของโจทก์ย่อมมีผลทันที และถือว่าการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่เจ้าพนักงาน-บังคับคดียึดมาได้เสร็จสิ้นลงตั้งแต่วันดังกล่าว ผู้ร้องยื่นคำร้องและขอเฉลี่ยทรัพย์เข้ามาภายหลังจากสิ้นระยะเวลาสิบสี่วันนับจากวันดังกล่าว คำร้องของผู้ร้องจึงไม่ต้องด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 290วรรคสี่ แม้เจ้าพนักงานบังคับคดีจะยังมิได้มีคำสั่งเกี่ยวกับคำขอถอนการยึดของโจทก์ก็ตาม

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยร่วมกับจำเลยอื่นชำระเงิน๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ จำเลยมิได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลย
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ค่าภาษีอากรของจำเลย เป็นเงินค่าภาษีอากรค้างชำระรวมทั้งเบี้ยปรับและงินเพิ่มที่ไม่สามารถเอาชำระหนี้ได้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลย ขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยในเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้
โจทก์คัดค้านว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยในคดีนี้เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๓๑ แต่ผู้ร้องเพิ่งยื่นคำร้องขอเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินคดีนี้เมื่อวันที่๔ พฤษภาคม ๒๕๓๒ จึงเกินกำหนด ๑๔ วัน นับแต่วันที่มีการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอเฉลี่ยทรัพย์สินคดีนี้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๓๑ โดยขายไปเพียงบางส่วน บางรายการซึ่งยังมิได้ขายเนื่องจากสูญฯหาย และบางรายการมีราคาต่ำเกินไป โจทก์ยื่นคำแถลงขอถอนการยึดทรัพย์บางรายการเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๓๑ และยื่นคำแถลงขอถอนการยึดทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ โดยขอให้คิดเงินค่าธรรมเนียมการยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๓๑ แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งให้รอสอบเจ้าหนี้ผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์รายอื่นก่อน และยังมิได้มีคำสั่งเกี่ยวกับคำแถลงทั้งสองฉบับของโจทก์จนบัดนี้ ผู้ร้องจึงได้ยื่นร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เข้ามาในคดีนี้เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๓๒เนื่องจากไม่มีทรัพย์สินอื่นของจำเลยให้ยึดได้อีก ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยในทรัพย์สินคดีนี้เกินกำหนดเวลา ๑๔ วัน นับแต่วันที่มีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ วรรคสี่ หรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เรื่องการบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๗๑, ๒๙๒ (๓) และ ๒๙๕ (๒) เป็นสิทธิของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่จะบังคับเมื่อใดก็ได้ภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะงดการบังคับคดีตามมาตรา ๒๙๒ (๓)หรือจะถอนการบังคับคดีหรือไม่ขอบังคับคดีเสียก็ได้ตามมาตรา ๒๙๕ (๒) เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้ไม่ประสงค์จะบังคับคดีแก่จำเลย โจทก์ย่อมขอถอนการบังคับคดีได้โดยแจ้งไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นหนังสือว่า ตนสละสิทธิในการบังคับคดีนั้น ตามมาตรา ๒๙๕ (๒) เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องถอนการบังคับคดีนั้นทันทีตามความประสงค์ของโจทก์ ทั้งนี้ตามมาตรา ๒๙๕ การที่โจทก์คดีนี้มีคำแถลงเป็นหนังสือขอถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยรายการสุดท้ายที่เหลืออยู่ทั้งหมดเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ เจ้าพนักงาน-บังคับคดีก็ต้องถอนการบังคับคดีนี้ทันที คำแถลงขอถอนการยึดทรัพย์ของโจทก์ดังกล่าวย่อมมีผลทันทีตั้งแต่วันดังกล่าวและถือว่าการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดมานั้นได้เสร็จสิ้นลงตั้งแต่วันดังกล่าวแล้ว ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ค่าภาษีอากรค้างชำระยื่นคำร้องขอเฉลี่ยในทรัพย์สินเข้ามาในคดีนี้เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๓๒ อันเป็นวันภายหลังจากสิ้นระยะเวลาสิบสี่วันนับจากวันขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยได้เสร็จสิ้นดังวินิจฉัยข้างต้นแล้ว คำร้องของผู้ร้องจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ วรรคสี่
พิพากษายืน.

Share