คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1598-1599/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ที่ 2 ยื่นฟ้องขอให้จำเลยรับผิดฐานละเมิดภายใน 1 ปีนับแต่วันเกิดเหตุแต่ศาลชั้นต้นมิได้สั่งรับฟ้องในวันนั้น เพราะโจทก์ที่ 2 ร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับฟ้องในภายหลังซึ่งเป็นเวลาเกิน 1 ปีนับแต่วันเกิดเหตุแล้วก็ตาม ก็ถือได้ว่าคดีโจทก์ที่ 2 ได้ฟ้องในวันยื่นฟ้อง ส่วนการไต่สวนเพื่อประกอบการสั่งอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาได้หรือไม่ เป็นกระบวนพิจารณาของศาล แม้จะเนิ่นนานไปก็หาใช่ความผิดของโจทก์ที่ 2 ไม่คดีโจทก์ที่ 2 จึงไม่ขาดอายุความ
ศาลทหารพิพากษาคดีส่วนอาญาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ฐานขับรถประมาทำให้โจทก์ทั้งสองบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 2 เป็นคดีแพ่ง ให้ร่วมกันรับผิดฐานละเมิด เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยตามข้อต่อสู้และฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า การที่รถชนกันเกิดจากโจทก์ที่ 1 ขับรถแล่นเข้าไปชนรถซึ่งจำเลยที่ 1 ขับ หาใช่ความประมาทของจำเลยที่ 1 ไม่ ดังนี้แม้จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาก็ตาม แต่เมื่อเป็นคดีที่โจทก์ที่ 2 ฟ้องจำเลยที่ 2 ว่าเป็นนายจ้างต้องร่วมกันรับผิดในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ 1 กรณีจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษายกฟ้องตอลดถึงจำเลยที่ 1 ด้วยได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองสำนวน (โจทก์ในสำนวนแรกศาลเรียกว่าโจทก์ที่ 1 โจทก์ในสำนวนที่ 2 ศาลเรียกว่าโจทก์ที่ 2) ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2515 จำเลยที่ 1ในฐานะลูกจ้างกระทำตามทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์โดยประมาทชนรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ที่ 1 ขับสวนทางมาโดยมีโจทก์ที่ 2 ซ้อนท้าย เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับบาดเจ็บ จำเลยที่ 1 ถูกศาลลงโทษฐานขับรถประมาททำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าสินไหมทดแทน

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 2 ให้การว่าจำเลยที่ 1 มิใช่ลูกจ้าง และมูลเหตุที่เกิดขึ้นมิใช่เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสอง

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ทั้งสองสำนวน

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกาทั้งสองสำนวน ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาสำนวนโจทก์ที่ 1 เฉพาะข้อกฎหมาย ส่วนสำนวนโจทก์ที่ 2 รับฎีกาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาจำเลยที่ 2 ในสำนวนโจทก์ที่ 1 ว่าฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาจำเลยที่ 2 ในสำนวนโจทก์ที่ 2 ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ที่ 2 ยื่นฟ้องวันที่ 28 สิงหาคม2516 แม้ศาลชั้นต้นมิได้สั่งรับฟ้องในวันนั้น เพราะโจทก์ที่ 2 ร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาโดยศาลชั้นต้นสั่งรับฟ้องในภายหลัง ซึ่งเป็นเวลาเกิน 1 ปีนับแต่วันเกิดเหตุก็ตาม ย่อมถือได้ว่าโจทก์ที่ 2 ได้ฟ้องในวันที่ยื่นฟ้องนั้นแล้ว ส่วนการไต่สวนคำร้องเพื่อประกอบการสั่งอนุญาตให้โจทก์ที่ 2 ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาได้หรือไม่ เป็นกระบวนพิจารณาของศาล แม้จะเนิ่นนานไปก็หาใช่ความผิดของโจทก์ที่ 2 ไม่

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เหตุเกิดเพราะโจทก์ที่ 1 ได้ขับรถแล่นตัดหน้าเข้าไปชนรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ หาใช่ความประมาทของจำเลยที่ 1 ไม่ และวินิจฉัยว่า ฉะนั้น แม้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างจะมิได้ฎีกาก็ตาม (และได้ความว่าจำเลยที่ 1 ถูกศาลพิพากษาลงโทษในคดีส่วนอาญาว่าขับรถโดยประมาททำให้โจทก์ทั้งสองบาดเจ็บสาหัส) แต่คดีนี้โจทก์ที่ 2 ฟ้องจำเลยที่ 2 ว่า เป็นนายจ้างซึ่งต้องร่วมกันรับผิดในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ 1 กรณีจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยตลอดถึงจำเลยที่ 1 ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1)และมาตรา 247

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2

Share