คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2189/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย ได้ ขอเบิกเงินสมทบจากจำเลยเพื่อเป็น ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปฝึกอบรมยังต่างประเทศเนื่องจากโจทก์ได้ รับทุนจากต่างประเทศ และจำเลยได้ อนุมัติให้โจทก์ยืมเงินทดรองจ่ายไป การที่โจทก์ขอเบิกเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยเป็นผลโดยตรงจากความผูกพันในฐานะ ลูกจ้างและนายจ้างมิใช่หนี้อื่นตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 30 จำเลยจึงมีสิทธินำเงินโบนัสที่จะต้อง จ่ายแก่โจทก์มาหักกับหนี้ ดังกล่าวได้ โดย ไม่ต้องคำนึงว่าเงินโบนัสเป็นค่าจ้างหรือไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย ตำแหน่งนายช่างอันดับ 2เมื่อปี 2530 โจทก์เป็นผู้ได้รับทุนฝึกอบรมหลักสูตรลิเนียร์เมสเชอร์เม็นท์ เทคนิค ของรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน ซึ่งมีกำหนดเวลาให้ทุน 17 เดือน โจทก์ได้ขอเบิกเงินสมทบเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงานต่างประเทศจากจำเลยตามระเบียบปฏิบัติงานองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ว่าด้วยการเดินทางไปปฏิบัติงานต่างประเทศ พ.ศ. 2530 ข้อ 13, 14, 20, 21 เนื่องจากผู้ให้ทุนให้ความช่วยเหลือน้อยกว่าสิทธิที่โจทก์จะพึงมี ซึ่งจำเลยได้อนุมัติสั่งจ่ายให้โจทก์รวมเป็นเงิน 448,516.66 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2531 จำเลยได้มีคำสั่งที่ 660/2531ให้โจทก์ชดใช้เงินจำนวน 448,516.66 บาท แก่จำเลย โดยอ้างว่าโจทก์สมัครใจรับทุนฝึกอบรมของรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันเอง โจทก์ไม่มีสิทธิขอเบิกเงินสมทบจำนวนดังกล่าว และมีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงินโบนัสประจำปี 2530 เป็นเงิน 29,228.15 บาท ซึ่งจะต้องจ่ายให้โจทก์ในวันที่ 25 มีนาคม 2531 และระงับการจ่ายเงินโบนัสประจำปี 2531 เป็นเงิน 37,112.86 บาท ซึ่งจะต้องจ่ายให้โจทก์ในวันที่ 8 มีนาคม 2532 เพื่อชดใช้เงินสมทบดังกล่าว เนื่องจากเงินโบนัสเป็นค่าจ้างที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามสัญญาจ้าง และเงินสมทบจำนวน 448,516.66 เป็นเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามสิทธิในการเดินทางไปปฏิบัติงานในต่างประเทศ จำเลยไม่มีสิทธิที่จะหักหรือระงับการจ่ายเงินโบนัสของโจทก์เพื่อชดใช้เงินสมทบ การที่จำเลยระงับการจ่ายเงินโบนัส ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 660/2531 และให้จำเลยจ่ายเงินโบนัสประจำปี 2530 กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 34,343.15 บาท เงินโบนัสประจำปี 2531กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 38,042.86 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้สมัครและได้รับทุนของรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันเพื่อไปฝึกอบรม ณ ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันเป็นเวลา 1 ปี 5 เดือน จำเลยจึงได้อนุมัติให้โจทก์ลาไปต่างประเทศเพื่อฝึกอบรม ตามระเบียบปฏิบัติงานองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ว่าด้วยการไปศึกษา ฝึกอบรมดูงานต่างประเทศ และการลาไปศึกษาภายในประเทศ รวมทั้งการฝึกอบรมบุคคลที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจะรับเข้าปฏิบัติงาน พ.ศ. 2526โจทก์มิได้รับคำสั่งจากจำเลยให้เดินทางไปปฏิบัติงานต่างประเทศตามระเบียบปฏิบัติงานขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ว่าด้วยการเดินทางไปปฏิบัติงานต่างประเทศ พ.ศ. 2530 ซึ่งจะขอเบิกเงินสมทบเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงานต่างประเทศได้ตามระเบียบดังกล่าว โจทก์ขอเบิกเงินสมทบเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงานต่างประเทศจำนวน 448,516.66 บาท โดยอ้างว่าโจทก์ได้รับอนุมัติให้เดินทางไปปฏิบัติงานต่างประเทศ เป็นเหตุให้ผู้บังคับบัญชาหลงเชื่ออนุมัติจ่ายเงินจำนวน 448,516.66 บาท ให้โจทก์เป็นเงินยืมทดรองจ่ายซึ่งโจทก์มีหน้าที่ต้องคืนให้แก่จำเลย จำเลยได้มีคำสั่งที่ 660/2531ให้โจทก์คืนเงินจำนวนดังกล่าวแล้วแต่โจทก์ไม่ยอมคืนให้จำเลยจึงนำเงินโบนัสที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์ประจำปี 2530 และปี 2531รวมจำนวน 66,341.01 บาท มาหักกลบลบหนี้กัน คงเหลือหนี้ที่โจทก์ยังค้างชำระจำเลยเป็นเงิน 382,175.65 บาท คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2531 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ทราบคำสั่งของจำเลยให้คืนเงินถึงวันฟ้องเป็นเงิน 16,720.18 บาทรวมเป็นเงิน 398,895.83 บาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์และให้โจทก์ใช้เงินจำนวน 398,895.83 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 382,175.65 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้รับอนุมัติจากจำเลยให้เดินทางไปฝึกอบรมตามที่โจทก์ได้รับทุนของรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน เพื่อให้โจทก์ไปศึกษาความรู้ความชำนาญหรือประสบการณ์ในต่างประเทศมาเพื่อพัฒนากิจการของจำเลยต่อไปอันเป็นการไปปฏิบัติงานตามคำสั่งของจำเลยตามระเบียบปฏิบัติงานองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ว่าด้วยการเดินทางไปปฏิบัติงานต่างประเทศ พ.ศ. 2530 โจทก์มีสิทธิขอเบิกเงินสมทบเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางตามระเบียบปฏิบัติงานของจำเลยดังกล่าว เนื่องจากผู้ให้ทุนให้ความช่วยเหลือน้อยกว่าสิทธิที่โจทก์จะพึงมี โจทก์ไม่ต้องคืนเงินดังกล่าวให้จำเลย เมื่อโจทก์เดินทางกลับจากการฝึกอบรมมีเงินที่โจทก์ยืมทดรองจ่ายเหลือเป็นเงิน 22,194.16 บาทซึ่งโจทก์ได้นำส่งคืนจำเลยแล้ว ดังนั้นจำนวนเงินที่จำเลยอนุมัติจ่ายให้โจทก์เป็นเงินยืมทดรองจ่ายจึงมีเพียง 426,322.50 บาทขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชำระเงินยืมทดรองจ่ายจำนวน 359,981.49 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2531 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “โจทก์อุทธรณ์ว่า เงินโบนัสถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง การที่จำเลยนำเงินโบนัสของโจทก์ไปหักชำระหนี้อื่นเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิเคราะห์แล้วเห็นว่าตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 30ระบุว่า ในการจ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลาและค่าทำงานในวันหยุดนายจ้างจะนำหนี้อื่นมาหักมิได้ ข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลแรงงานกลางรับฟังว่า โจทก์ขอเบิกเงินสมทบเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปฝึกอบรมจากจำเลยตามที่โจทก์ได้รับทุนของรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน ซึ่งจำเลยได้อนุมัติให้โจทก์ยืมเงินทดรองจ่ายเป็นจำนวนเงิน 448,516.66 บาท การที่โจทก์ขอเบิกเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลย เห็นได้ว่าเป็นผลโดยตรงจากความผูกพันในฐานะลูกจ้างและนายจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลย เมื่อจำเลยเรียกร้องให้โจทก์คืนเงินที่ขอเบิกไปจากจำเลยเนื่องจากโจทก์ไม่มีสิทธิอันถือได้ว่า เงินที่โจทก์ต้องคืนให้แก่จำเลยเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นจากการที่โจทก์จำเลยปฏิบัติต่อกันในฐานะลูกจ้างและนายจ้าง มิใช่เป็นหนี้อื่นตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 30 ดังนั้น ไม่ว่าเงินโบนัสจะเป็นค่าจ้างหรือไม่ก็ตาม จำเลยก็มีสิทธิที่จะนำมาหักกับจำนวนเงินที่โจทก์เป็นหนี้จำเลยดังกล่าวได้กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าเงินโบนัสเป็นค่าจ้างหรือไม่ศาลแรงงานกลางพิพากษาชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share