คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2185/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เดิมจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพมหานคร จำเลยย้ายภูมิลำเนาไปอยู่จังหวัดลำพูนแล้วย้ายต่อไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 15/8 หมู่ที่ 1ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาอำเภอเมืองเชียงใหม่จำหน่ายชื่อจำเลยออกจากทะเบียนบ้านเดิมแล้วลงชื่อไว้ในทะเบียนคนบ้านกลาง การที่จำเลยย้ายไปอยู่จังหวัดเชียงใหม่ แสดงว่า จำเลยมีถิ่นอันเป็นสถานที่อยู่เป็นแหล่งสำคัญที่จังหวัดเชียงใหม่ ถือได้ว่าจังหวัดเชียงใหม่เป็นภูมิลำเนาของจำเลย ส่วนที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ได้จำหน่ายชื่อจำเลยออกจากทะเบียนบ้านเดิม แล้วลงชื่อไว้ในทะเบียนคนบ้านกลางก็เนื่องจากไม่มีตัวอยู่ในบ้านและไม่ทราบที่อยู่ใหม่ มิใช่จำเลยได้ย้ายที่อยู่พร้อมด้วยเจตนาจะเปลี่ยนภูมิลำเนา จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยได้เปลี่ยนภูมิลำเนาไปจากจังหวัดเชียงใหม่แล้ว ตามระเบียบสำนักงานกลางทะเบียนราษฎร กรมการปกครองว่าด้วยการจัดทำทะเบียนราษฎร สำหรับสำนักทะเบียนในเขตปฏิบัติการตามโครงการจัดทำเลขประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2528 ข้อ 52 และ 53ที่ให้ถือว่าทะเบียนคนบ้านกลางไม่ใช่ทะเบียนบ้าน และบุคคลซึ่งมีรายการปรากฏอยู่ในทะเบียนคนบ้านกลาง ไม่อาจจะขอคัดหรือรับรองสำเนารายการเพื่อนำไปอ้างอิงหรือใช้สิทธิในกรณีต่าง ๆ ได้เป็นเรื่องเพื่อประโยชน์ในการจัดทำทะเบียนราษฎรตามโครงการจัดทำเลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น จะถือว่าจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการยื่นฟ้องคดีล้มละลายหาได้ไม่ จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ในขณะยื่นฟ้องจึงต้องด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 150 ที่จะต้องไปยื่นฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ แต่โจทก์ยื่นฟ้องที่ศาลจังหวัดแพร่ ซึ่งไม่ใช่ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจแม้จะเป็นศาลมูลคดีเกิดก็ตาม ศาลจังหวัดแพร่ก็ไม่อาจรับคดีของโจทก์ไว้พิจารณาได้และกรณีมิใช่เป็นเรื่องจำเลยเป็นบุคคลที่ไม่มีภูมิลำเนาอันจะต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4มาใช้บังคับ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153หรือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 10973/2524 จำนวน 73,163 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม แต่จำเลยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์ขอบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์ของจำเลยขายทอดตลาดชำระหนี้แต่ไม่มีทรัพย์สินที่จะยึดมาชำระหนี้ได้ รวมเป็นหนี้ที่ค้างชำระคิดถึงวันฟ้องทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยพร้อมค่าฤชาธรรมเนียมรวม 133,415.34 บาทหนี้ดังกล่าวมีจำนวนเกินกว่าห้าหมื่นบาทซึ่งเป็นหนี้แน่นอนถึงกำหนดชำระแล้วและจำเลยหลบหนีไปจากเคหสถานที่เคยอยู่จึงเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายและโจทก์ยื่นคำแถลงว่า เดิมจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 27/1 หมู่ที่ 16 แขวงประเวศเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ต่อมาวันที่ 9 สิงหาคม 2525 ได้ย้ายไปอยู่บ้านเลขที่ 44 หมู่ที่ 3 ตำบลวังยาง อำเภอป่าซางจังหวัดลำพูน แล้วย้ายไปอยู่บ้านเลขที่ 15/8 หมู่ที่ 1 ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2530 อำเภอเมืองเชียงใหม่ได้จำหน่ายชื่อจำเลยออกจากบ้านเลขที่ดังกล่าวไปไว้ในทะเบียนคนบ้านกลาง เพราะไม่มีตัวตนอยู่ในบ้านและไม่ทราบที่อยู่ใหม่ ซึ่งทะเบียนบ้านดังกล่าวไม่อาจนำไปอ้างอิงหรือใช้สิทธิในกรณีต่าง ๆ ได้ ถือว่าจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาถิ่นที่อยู่แน่นอนไม่สามารถฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาได้ จึงขออนุญาตฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลที่มูลคดีเกิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4ประกอบด้วยมาตรา 153 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ขอให้รับคำฟ้องไว้พิจารณา
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ว เห็นว่า มาตรา 150 แห่งพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 บัญญัติเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลไว้แล้วให้ฟ้องจำเลยต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขต เป็นกรณีที่พระราชบัญญัติล้มละลายบัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว จะนำมาตรา 4แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับตามมาตรา 153แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายหาได้ไม่ ไม่ปรากฎว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่ศาลนี้ มีคำสั่งไม่รับฟ้อง คืนค่าขึ้นศาลและเงินวางประกันทั้งหมด โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาว่าจำเลยถูกจำหน่ายชื่อไปอยู่ในทะเบียนคนบ้านกลาง อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตั้งแต่ก่อนฟ้องจึงไม่ถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ ณ ที่ใด ตามระเบียบสำนักงานกลางทะเบียนราษฎร กรมการปกครอง ว่าด้วยการจัดทำทะเบียนราษฎรสำหรับสำนักทะเบียนในเขตปฏิบัติการตามโครงการจัดทำเลขประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2528 กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 150 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ที่จะยื่นคำฟ้องต่อศาลที่ลูกหนี้มีภูมิลำเนาเมื่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ไม่ได้บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำมาตรา 4 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับ โจทก์จึงมีสิทธิยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดแพร่ ที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตอำนาจได้ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 150 กำหนดให้ยื่นคำฟ้องคดีล้มละลายต่อศาลซึ่งลูกหนี้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขต ส่วนลูกหนี้จะมีภูมิลำเนาอยู่ ณ ที่ใดต้องถือตามถิ่นอันบุคคลนั้นมีสถานที่อยู่เป็นแหล่งสำคัญ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 44 ส่วนการเปลี่ยนภูมิลำเนาจะทำได้ด้วยการย้ายถิ่นที่อยู่พร้อมด้วยเจตนาปรากฏว่าจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนา ตามมาตรา 48คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความตามคำฟ้องและคำแถลงขออนุญาตฟ้องของโจทก์ว่า เดิมจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพมหานคร จำเลยย้ายภูมิลำเนาไปอยู่จังหวัดลำพูนแล้วย้ายต่อไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 15/8 หมู่ที่ 1ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาวันที่ 10 กันยายน 2530 อำเภอเมืองเชียงใหม่ จำหน่ายชื่อจำเลยออกจากทะเบียนบ้านเดิมแล้วลงชื่อไว้ในทะเบียนคนบ้านกลาง เพื่อรอให้จำเลยมาแจ้งย้ายไปเข้าทะเบียนบ้านที่จำเลยอยู่อาศัย เนื่องจากไม่มีตัวอยู่ในบ้านและไม่ทราบที่อยู่ใหม่ จะเห็นได้ว่าการที่จำเลยย้ายไปอยู่จังหวัดเชียงใหม่ แสดงว่าจำเลยมีถิ่นอันเป็นสถานที่อยู่เป็นแหล่งสำคัญที่จังหวัดเชียงใหม่ ถือได้ว่าจังหวัดเชียงใหม่เป็นภูมิลำเนาของจำเลย ส่วนที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ได้จำหน่ายชื่อจำเลยออกจากทะเบียนบ้านเดิม แล้วลงชื่อไว้ในทะเบียนคนบ้านกลางก็เนื่องจากไม่มีตัวอยู่ในบ้านและไม่ทราบที่อยู่ใหม่ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ย้ายที่อยู่พร้อมด้วยเจตนาจะเปลี่ยนภูมิลำเนาแต่อย่างใดจึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยได้เปลี่ยนภูมิลำเนาไปจากจังหวัดเชียงใหม่แล้ว แม้ตามระเบียบสำนักงานกลางทะเบียนราษฎร กรมการปกครองว่าด้วยการจัดทำทะเบียนราษฎร สำหรับสำนักทะเบียนในเขตปฏิบัติการตามโครงการจัดทำเลขประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2528 ข้อ 52 และ 53จะถือว่าทะเบียนคนบ้านกลางไม่ใช่ทะเบียนบ้าน และบุคคลซึ่งมีรายการปรากฏอยู่ในทะเบียนคนบ้านกลาง ไม่อาจจะขอคัดหรือรับรองสำเนารายการเพื่อนำไปอ้างอิงหรือใช้สิทธิในกรณีต่าง ๆ ได้ก็ตามก็เป็นเรื่องเพื่อประโยชน์ในการจัดทำทะเบียนราษฎรตามโครงการจัดทำเลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น จะถือว่าจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับการยื่นฟ้องคดีอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่หาได้ไม่ ดังนั้นเมื่อจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ในขณะยื่นฟ้อง จึงต้องด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 150 ที่จะต้องไปยื่นฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่แต่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ที่ศาลจังหวัดแพร่ ซึ่งไม่ใช่ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจแม้จะเป็นศาลที่มูลคดีเกิดก็ตามศาลจังหวัดแพร่ก็ไม่อาจรับคดีของโจทก์ไว้พิจารณาได้ และกรณีมิใช่เป็นเรื่องจำเลยเป็นบุคคลที่ไม่มีภูมิลำเนา อันจะต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 มาใช้บังคับ ตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 หรือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 ดังที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใดศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share