แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงให้โจทก์ขายที่ดินพิพาทให้จำเลย อันมีผลให้สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทตกเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 121 ซึ่งตามมาตรา 143 โจทก์ต้องบอกล้างภายในเวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้แต่ต้องไม่ล่วงไปถึงสิบปีนับแต่เมื่อได้ทำโมฆียะกรรมนั้นแล้วเมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การได้ความว่า นับแต่วันทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทถึงวันฟ้องพ้นเวลาสิบปีแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจบอกล้างและฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยได้ คำฟ้องของโจทก์อ้างแต่เพียงว่า โจทก์ไม่สมัครใจขายที่พิพาทให้แก่จำเลย ลำพังแต่เหตุดังกล่าว หาเป็นเหตุให้นิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยตกเป็นโมฆะไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน น.ส.3 เนื้อที่ 14 ไร่2 งาน อยู่ที่ตำบลปากแพรก อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรีจำเลยที่ 1 เสนอขอซื้อที่ดินของโจทก์ โดยแจ้งว่าเมื่อทางราชการสร้างเขื่อนเก็บน้ำ ที่ดินของโจทก์จะถูกน้ำท่วมหมดและโจทก์จะไม่ได้รับค่าชดเชย เป็นเหตุให้โจทก์หลงเชื่อ จำใจยอมขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2513 ทั้ง ๆ ที่ไม่สมัครใจขาย หลังจากสร้างเขื่อนแล้วน้ำไม่เคยท่วมที่ดินที่โจทก์ขายให้แก่จำเลยที่ 1 เลย ต่อมาจำเลยที่ 2 เป็นผู้ดูแลรักษาที่ดินแปลงนี้ ขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันโอนที่ดินคืน และรับเงินพร้อมดอกเบี้ยจากโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1ด้วยความสมัครใจ จำเลยที่ 1 มิได้ฉ้อฉลให้โจทก์หลงเข้าใจผิดและตัดฟ้องว่าโจทก์ฟ้องเกิน 10 ปี นับแต่วันทำนิติกรรม หมดสิทธิที่จะขอให้เพิกถอนการโอนได้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณา โจทก์ถึงแก่กรรม นายศักดา เจริญพิบูลย์ทายาทของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์เพียงประการเดียวว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทหรือไม่ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้ตามคำฟ้องโจทก์จะบรรยายว่าโจทก์จำใจทำนิติกรรมขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 1 ทั้ง ๆ ที่โจทก์ไม่สมัครใจก็ตาม แต่โจทก์ก็กล่าวด้วยว่าโจทก์มีความเชื่อในคำชี้แจงของเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ว่า ถ้าการสร้างเขื่อนทั้งหลายตามโครงการของจำเลยที่ 1 เสร็จน้ำต้องท่วมที่ดินของโจทก์แน่ โจทก์จึงต้องขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 1 กรณีจึงเป็นเรื่องโจทก์กล่าวอ้างว่าถูกจำเลยที่ 1 ใช้กลฉ้อฉลให้โจทก์ขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 1 อันเป็นผลให้สัญญาซื้อขายที่พิพาทตกเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 121 ซึ่งตามมาตรา 143โจทก์จะต้องบอกล้างโมฆียะกรรมนั้นภายในเวลาปีหนึ่งนับแต่เวลาที่โจทก์จะอาจให้สัตยาบันได้ แต่ต้องไม่ล่วงไปถึงสิบปีนับแต่เมื่อได้ทำโมฆียะกรรมนั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยทั้งสองว่า โจทก์ได้ทำสัญญาขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2513 นับถึงวันฟ้องคือวันที่ 6 มกราคม 2530 พ้นเวลาสิบปีแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจบอกล้างและฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทได้ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า สัญญาซื้อขายที่พิพาทตกเป็นโมฆะมาแต่แรก เพราะโจทก์ไม่สมัครใจจะขายที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า ตามฟ้องของโจทก์ คงอ้างแต่เพียงว่าโจทก์ไม่สมัครใจขายที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ลำพังแต่เหตุตามฟ้องหาเป็นเหตุให้นิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกเป็นโมฆะดังที่โจทก์ฎีกาไม่
พิพากษายืน