คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2181/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ความลับทางการค้า พ.ศ.2545 มาตรา 33 ต่อเมื่อจำเลยเปิดเผยความลับทางการค้าให้เป็นที่ล่วงรู้โดยทั่วไปในประการที่ทำให้ความลับทางการค้าสิ้นสภาพการเป็นความลับทางการค้าตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว แต่ตามฟ้องโจทก์เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 นำข้อมูลที่โจทก์อ้างว่าเป็นความลับทางการค้าไปเปิดเผยแก่จำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นบริษัทที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ร่วมกันจัดตั้งขึ้น แม้ตามกฎหมายจำเลยที่ 6 ถือเป็นบุคคลแยกต่างหากจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 แต่ตามฟ้องเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 นำข้อมูลที่อ้างว่าเป็นความลับทางการค้าไปใช้เองโดยวิธีจัดตั้งจำเลยที่ 6 ขึ้นมาเพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจการค้าของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ข้อมูลความลับทางการค้าดังกล่าวยังคงอยู่ในความรู้ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 หรือจำเลยที่ 6 เท่านั้น มิใช่การเปิดเผยข้อมูลให้เป็นที่ล่วงรู้แก่บุคคลอื่นโดยทั่วไป ส่วนฟ้องโจทก์ที่ว่าจำเลยทั้งหกขายเครื่องจักรบรรจุสินค้าลงซองอัตโนมัติให้แก่ลูกค้าของโจทก์หลายราย ก็มิใช่การเปิดเผยข้อมูลความลับทางการค้าเกี่ยวกับกระบวนการผลิตเครื่องจักรดังกล่าวแก่ลูกค้าของโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งหกตามที่โจทก์บรรยายฟ้องจึงไม่เป็นการร่วมกันเปิดเผยความลับทางการค้าของโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่ครบองค์ประกอบความผิด จึงไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งหกตาม พ.ร.บ.ความลับทางการค้า พ.ศ.2545 มาตรา 33 ได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งหกชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในทางแพ่งและมี คำขออื่นรวมมาด้วย โดยมีมูลมาจากความรับผิดในทางอาญา พ.ร.บ.ความลับทางการค้า พ.ศ.2545 มาตรา 33 เมื่อตามฟ้องไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งหกตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งหกหรือขอให้บังคับตามคำขอท้ายฟ้องในส่วนแพ่ง
คดีนี้มีคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญารวมอยู่ด้วย แต่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมิได้มีคำสั่งเรื่องความรับผิดของคู่ความในค่าฤชาธรรมเนียม ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศจึงแก้ไขให้ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างต้นเดือนมกราคม 2546 จนถึงวันฟ้อง เวลากลางวันและกลางคืนเกี่ยวเนื่องกันตลอดมา จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นพนักงานของโจทก์ร่วมกันนำข้อมูลความลับการค้าเกี่ยวกับกระบวนการผลิตเครื่องจักรบรรจุสินค้าลงซองอัตโนมัติและบัญชีรายชื่อลูกค้าของโจทก์ไปเปิดเผยแก่จำเลยที่ 6 และจำเลยทั้งหกได้ร่วมกันผลิตเครื่องจักรบรรจุสินค้าลงซองอัตโนมัติลอกเลียนแบบเครื่องจักรบรรจุสินค้าลงซองอัตโนมัติของโจทก์และขายให้แก่ลูกค้าของโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งหกถือว่ามีเจตนาทุจริต ดำเนินธุรกิจไปในทางการค้าแข่งกับโจทก์ เป็นการละเมิดสิทธิในความลับทางการค้า และถือว่าเป็นการร่วมกันเปิดเผยความลับทางการค้าของโจทก์ให้เป็นที่ล่วงรู้โดยทั่วไปในประการที่ทำให้ความลับทางการค้าสิ้นสภาพจากการเป็นความลับทางการค้าโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพื่อประโยชน์ตนเองและผู้อื่นโดยมิชอบ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ.2545 มาตรา 6, 33, 34, 35, 36 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 และขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าสินไหมทดแทนจำนวน 25,000,000 บาท นับจากวันที่กระทำละเมิดจนถึงวันฟ้องพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งหกระงับการละเมิดสิทธิในความลับทางการค้าและข้อมูลทางการค้าของโจทก์นับจากวันฟ้องเป็นต้นไป หากฝ่าฝืนขอให้ชำระค่าสินไหมทดแทนปีละ 25,000,000 บาท จนกว่าจะหยุดการละเมิด ให้ทำลายและริบสิ่งของ เครื่องมือ เครื่องใช้และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ได้ใช้ในการละเมิดสิทธิในความลับทางการค้า ห้ามจำเลยทั้งหกจำหน่ายสินค้าแก่ลูกค้าของโจทก์ ซึ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ได้รู้มาจากการปฏิบัติหน้าที่เป็นลูกจ้างโจทก์ ให้จำเลยทั้งหกคืนผลประโยชน์ที่ได้จากหรือเนื่องจากการละเมิดความลับทางการค้ารวมเข้าไปในค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์
จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “…ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกมีว่า จำเลยทั้งหกกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ.2545 มาตรา 33 หรือไม่ มาตรา 33 บัญญัติว่า “ผู้ใดเปิดเผยความลับทางการค้าของผู้อื่นให้เป็นที่ล่วงรู้โดยทั่วไปในประการที่ทำให้ความลับทางการค้านั้นสิ้นสภาพการเป็นความลับทางการค้า โดยเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้ควบคุมความลับทางการค้าได้รับความเสียหายในการประกอบธุรกิจไม่ว่าจะกระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร การกระจายเสียงหรือการแพร่ภาพ หรือการเปิดเผยด้วยวิธีอื่นใด ต้องระหว่างโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ” เห็นว่า องค์ประกอบความผิดของบทบัญญัติมาตรานี้ข้อหนึ่ง คือต้องเป็นการเปิดเผยความลับทางการค้าของผู้อื่นให้เป็นที่ล่วงรู้โดยทั่วไปในประการที่ทำให้ความลับทางการค้านั้นสิ้นสภาพการเป็นความลับทางการค้า ซึ่งตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ความลับทางการค้า หมายความว่า “ข้อมูลการค้าซึ่งยังไม่รู้จักกันโดยทั่วไป หรือยังเข้าถึงไม่ได้ในหมู่บุคคลซึ่งโดยปกติแล้วต้องเกี่ยวข้องกับข้อมูลดังกล่าวโดยเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เนื่องจากการเป็นความลับ และเป็นข้อมูลที่ผู้ควบคุมความลับทางการค้าได้ใช้มาตรการที่เหมาะสมเพื่อรักษาไว้เป็นความลับ” ดังนี้ กรณีจะเป็นความผิดตามมาตรา 33 ข้อเท็จจริงจึงต้องได้ความว่า จำเลยทั้งหกได้เปิดเผยความลับทางการค้าของโจทก์ให้เป็นที่ล่วงรู้โดยทั่วไปในประการที่ทำให้ความลับทางการค้านั้นสิ้นสภาพการเป็นความลับทางการค้า แต่ตามคำฟ้องของโจทก์บรรยายฟ้องในสาระสำคัญว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 โดยมีเจตนาทุจริตร่วมกันนำข้อมูลความลับทางการค้าเกี่ยวกับกระบวนการผลิตเครื่องจักรบรรจุสินค้าลงซองอัตโนมัติประเภทต่างๆ และบัญชีรายชื่อลูกค้าของโจทก์ไปเปิดเผยแก่จำเลยที่ 6 นับแต่เดือนกรกฎาคม 2546 เป็นต้นมาจนถึงวันฟ้อง และจำเลยทั้งหกได้ร่วมกันผลิตเครื่องจักรบรรจุสินค้าลงซองอัตโนมัติประเภทต่างๆ ลอกเลียนแบบเครื่องจักรบรรจุสินค้าลงซองอัตโนมัติของโจทก์และขายให้แก่ลูกค้าของโจทก์หลายราย ซึ่งถือว่าเป็นการร่วมกันเปิดเผยความลับทางการค้าของโจทก์ให้เป็นที่ล่วงรู้กันโดยทั่วไปในประการที่ทำให้ความลับทางการค้านั้นสิ้นสภาพการเป็นความลับทางการค้า ตามฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 นำข้อมูลที่โจทก์อ้างว่าเป็นความลับทางการค้าไปเปิดเผยแก่จำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ร่วมกันจัดตั้งขึ้นมา แม้จะถือว่าตามกฎหมายจำเลยที่ 6 เป็นบุคคลซึ่งแยกออกมาต่างหากจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ก็ตาม แต่ก็เห็นได้ว่ากรณีเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 นำข้อมูลที่โจทก์อ้างว่าเป็นความลับทางการค้าไปใช้เองโดยวิธีการจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 6 ขึ้นมาเพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจการค้าของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ข้อมูลทางการค้าหรือความลับทางการค้าก็คงอยู่ในความรู้ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 หรือจำเลยที่ 6 เท่านั้น มิได้เป็นการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวให้เป็นที่ล่วงรู้แก่บุคคลอื่นโดยทั่วไป นอกจากนี้การที่จำเลยทั้งหกขายเครื่องจักรบรรจุสินค้าลงซองอัตโนมัติให้แก่ลูกค้าของโจทก์หลายรายก็มิใช่เป็นกรณีที่จำเลยทั้งหกเปิดเผยความลับทางการค้าของโจทก์ให้แก่ลูกค้าของโจทก์ เพราะไม่ใช่เรื่องที่จำเลยทั้งหกร่วมกันเปิดเผยข้อมูลความลับทางการค้าเกี่ยวกับกระบวนการผลิตเครื่องจักรบรรจุสินค้าลงซองอัตโนมัติประเภทต่างๆ ให้แก่ลูกค้าของโจทก์ดังกล่าว แต่เป็นเพียงการขายเครื่องจักรบรรจุสินค้าลงซองอัตโนมัติให้แก่ลูกค้าของโจทก์เท่านั้น ซึ่งเป็นคนละกรณีกัน การกระทำของจำเลยทั้งหกตามที่โจทก์บรรยายฟ้องจึงยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นการร่วมกันเปิดเผยความลับทางการค้าของโจทก์ให้เป็นที่ล่วงรู้กันโดยทั่วไปดังที่โจทก์อ้าง เมื่อฟ้องของโจทก์ไม่ครบองค์ประกอบอันเป็นความผิดมาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ.2545 จึงลงโทษจำเลยทั้งหกตามบทมาตรานี้ไม่ได้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ข้อแรกฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้บังคับจำเลยทั้งหกชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในทางแพ่งฐานละเมิดรวมทั้งคำขออื่นๆ ต่อเนื่องมาตามฟ้องนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งหกรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในทางแพ่งและมีคำขออื่นๆ รวมมาด้วย โดยมีมูลมาจากความรับผิดทางอาญาคือ การกระทำของจำเลยทั้งหกเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ.2545 มาตรา 33 เมื่อตามคำฟ้องของโจทก์ไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งหกตามบทมาตราดังกล่าวดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งหกและไม่มีสิทธิขอให้บังคับจำเลยทั้งหกตามคำขอท้ายฟ้องได้ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
อนึ่ง คดีนี้คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญารวมอยู่ด้วย แต่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมิได้มีคำสั่งในเรื่องความรับผิดของคู่ความในค่าฤชาธรรมเนียม ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

Share