คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10388/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทางเดินรถของ ว. ลูกจ้างโจทก์เป็นทางโท รถในทางโทต้องยอมให้รถในทางเอกผ่านไปก่อนทั้งบริเวณสี่แยกเกิดเหตุมีป้ายจราจร “หยุด” ซึ่งบังคับให้รถในทางโทต้องหยุดรถเพื่อรอให้รถที่มาจากทางเอกผ่านพ้นสี่แยกไปก่อนจึงจะขับผ่านสี่แยกเกิดเหตุได้ แม้รถในทางโทจะมาถึงสี่แยกก่อนแต่ถ้าไม่สามารถขับผ่านสี่แยกไปด้วยความเร็วตามปกติและตามพฤติการณ์ในขณะนั้นได้โดยปลอดภัยแล้ว ก็ต้องปฏิบัติตามป้ายจราจรดังกล่าวโดยหยุดรถเพื่อรอให้รถในทางเอกผ่านไปก่อน ว. ซึ่งขับรถยนต์โดยสารประจำทางในทางโทที่มีป้ายจราจรหยุดจะคาดคะเนเอาเองว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งขับรถยนต์บรรทุกในทางเอกเห็นรถในทางโทมาถึงและใช้ทางแยกก่อนแล้ว จะต้องหยุดรถโดย ว. ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎและป้ายจราจรหาได้ไม่ การที่ ว. ขับรถผ่านเข้าไปในสี่แยกเกิดเหตุโดยคาดคะเนเอาเองว่าจำเลยที่ 1 จะต้องชะลอและหยุดรถรอให้ ว. ขับรถผ่านไปก่อนย่อมเป็นการเสี่ยงภัยก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้โดยง่าย ทั้งเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎและป้ายจราจร ถือว่า ว. ประมาทเลินเล่อ เมื่อเกิดเหตุรถยนต์ชนกัน ว. จึงมีส่วนประมาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจำเลยที่ 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 327,840 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 323,800 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารประจำทาง ยี่ห้อเบนซ์ หมายเลขทะเบียน 10 – 0248 มหาสารคาม จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และเป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อ ยี่ห้อฮีโน่ หมายเลขทะเบียน 80 – 0909 มุกดาหารไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ในวันและเวลาเกิดเหตุนายวีระ ขับรถยนต์โดยสารประจำทางคันดังกล่าวเพื่อรับส่งผู้โดยสารไปตามถนนสายอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย – อำเภอสตึก จากทางอำเภอพยัคฆภูมิพิสัยมุ่งหน้าไปอำเภอสตึกจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อคันดังกล่าวบรรทุกสินค้าเพื่อส่งให้แก่ลูกค้าของจำเลยที่ 2 ไปตามถนนสายอำเภอเกษตรวิสัย – อำเภอพุทไธสง เมื่อไปถึงสี่แยกตู้ยามตำรวจทางหลวง ซึ่งเป็นสี่แยกที่ถนนสองสายดังกล่าวตัดกัน โดยถนนสายอำเภอเกษตรวิสัย – อำเภอพุทไธสงเป็นทางเอก ถนนสายอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย – อำเภอสตึก เป็นทางโท และมีป้ายเครื่องหมายจราจร “หยุด” ปักอยู่ข้างทางทั้งสองด้านของสี่แยกนายวีระจอดรับส่งผู้โดยสาร ก่อนถึงสี่แยกเกิดเหตุประมาณ 100 เมตร นายวีระเห็นจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกห่างจากสี่แยกเกิดเหตุประมาณ 300 เมตร นายวีระได้ขับรถยนต์โดยสารประจำทางด้วยความเร็วประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเมื่อถึงสี่แยกเกิดเหตุนายวีระได้ขับรถอย่างช้า ๆ และมองเห็นรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวแล่นด้วยความเร็วประมาณ 60 – 70 กิโลเมตรต่อชั่งโมง ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 100 เมตร นายวีระคาดการณ์ว่ารถยนต์บรรทุกจะชะลอความเร็วและหยุดรถให้รถยนต์โดยสารประจำทางแล่นผ่านสี่แยกเกิดเหตุไปก่อน จึงขับรถยนต์โดยสารประจำทางผ่านเข้าไปในสี่แยกเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ได้ห้ามล้อหักหลบไปทางซ้ายเพื่อหยุดรถแล้วแต่ไม่พ้น และรถยนต์บรรทุกสิบล้อชนรถยนต์โดยสารประจำทางที่กลางรถด้านซ้ายบริเวณสี่แยกเกิดเหตุ เป็นเหตุให้รถยนต์ทั้งสองคันเสียหาย และเด็กชายกฤษฎา ถึงแก่ความตาย คดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นอันยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1 กระทำละเมิด ขับรถยนต์บรรทุกโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รถยนต์ทั้งสองคันชนกัน คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า นายวีระซึ่งเป็นลูกจ้างขับรถยนต์โดยสารประจำทางคันเกิดเหตุของโจทก์มีส่วนประมาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจำเลยที่ 1 ด้วยหรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่า ตามสภาพของการขับรถและใช้ทางแยกผู้ขับรถจะต้องชะลอความเร็วรถและหยุดรถดูว่ามีรถอยู่ที่จุดจอดตรงทางแยกหรือในทางแยกหรือไม่ เมื่อเห็นมีรถถึงทางแยกก่อนและใช้ทางแยกแล้วจะต้องชะลอและหยุดรถ รถยนต์โดยสารประจำทางมาถึงสี่แยกก่อน จะต้องใช้ทางแยกก่อนและได้ใช้ทางแยกแล้ว ส่วนรถยนต์บรรทุกสิบล้อมาถึงสี่แยกภายหลัง จะต้องชะลอและหยุดรถรอให้รถยนต์โดยสารประจำทางผ่านไปก่อนจึงจะถูกต้อง นายวีระจึงไม่มีส่วนประมาทนั้น เห็นว่า ทางเดินรถของนายวีระเป็นทางโท รถในทางโทต้องยอมให้รถในทางเอกผ่านไปก่อน ทั้งบริเวณสี่แยกเกิดเหตุก็มีป้ายจราจร “หยุด” ซึ่งเป็นป้ายจราจรที่บังคับให้รถในทางโทต้องหยุดรถเพื่อรอให้รถที่มาจากทางเอกผ่านพ้นสี่แยกไปก่อนจึงจะขับผ่านสี่แยกเกิดเหตุได้ แม้รถในทางโทจะมาถึงสี่แยกก่อน แต่ถ้าไม่สามารถขับผ่านสี่แยกไปด้วยความเร็วตามปกติและตามพฤติการณ์ในขณะนั้นได้โดยปลอดภัยแล้ว ก็ต้องปฏิบัติตามป้ายจราจรดังกล่าวโดยหยุดรถเพื่อรอให้รถในทางเอกผ่านไปก่อน จะคาดการณ์หรือคาดคะเนเอาเองว่าเมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งขับรถยนต์บรรทุกในทางเอกเห็นรถในทางโทมาถึงและใช้ทางแยกก่อนแล้วจะต้องหยุดรถตามสภาพการขับรถและใช้ทางแยกตามหลักเกณฑ์ทั่วไปโดยนายวีระไม่ต้องปฏิบัติตามกฎและป้ายจราจรหาได้ไม่ ก่อนนายวีระขับรถยนต์โดยสารประจำทางผ่านเข้าไปในสี่แยกเกิดเหตุ นายวีระเห็นรถยนต์บรรทุกกำลังแล่นจะผ่านเข้าสี่แยกเกิดเหตุด้วยความเร็วประมาณ 60 – 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยไม่ได้ชะลอความเร็วรถลงถึง 2 ครั้ง นายวีระจะต้องหยุดรถเพื่อรอให้รถยนต์บรรทุกผ่านสี่แยกไปก่อน การที่นายวีระขับรถยนต์โดยสารประจำทางผ่านเข้าไปในสี่แยกเกิดเหตุโดยคาดคะเนเอาเองว่าจำเลยที่ 1 จะต้องชะลอและหยุดรถรอให้นายวีระขับรถยนต์โดยสารประจำทางผ่านไปก่อน ซึ่งอาจไม่เป็นไปอย่างที่นายวีระคาดคะเน เพราะรถยนต์บรรทุกสิบล้อแล่นมาด้วยความเร็วไม่ได้ชะลอความเร็วลง การชะลอความเร็วและหยุดรถโดยกะทันหันในระยะกระชั้นชิดอาจไม่ทันและชนรถยนต์โดยสารประจำทางได้ ย่อมเป็นการเสี่ยงภัยก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้โดยง่าย ทั้งเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎและป้ายจราจร ถือว่า เมื่อเกิดเหตุรถยนต์ชนกัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดในความเสียหายตามฟ้องได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน จำเลยทั้งสองไม่แก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความให้.

Share