แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้เยาว์อายุไม่เกินสิบสามปีออกจากบ้านไปคนเดียว จำเลยซึ่งเป็นป้ารับกลับมาแล้วไม่พาไปหาบิดามารดาเพราะผู้เยาว์กลัวถูกทำโทษไม่ยอมกลับ จนย่า ของผู้เยาว์ต้องนำไปบวชเณรเพื่อไม่ให้ถูกบิดามารดาทำโทษแล้วจึงให้ ส. ไปบอกบิดามารดาไปรับกลับเอง ดังนี้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตาม ป.อ. มาตรา 317.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 ลงโทษจำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเด็กชายสุรพันธ์เป็นบุตรนายสำรวย ยอดสมกับนางอัมพร ยอดสม เด็กชายสุรพันธ์ ได้เดินทางไปที่ปากคลองตลาด แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนครกรุงเทพมหานคร และพักอาศัยอยู่กับผู้มีชื่อ ต่อมาจำเลยได้ไปรับเด็กชายสุรพันธ์ที่ปากคลองตลาดแล้วพาไปอยู่ที่บ้านของจำเลยแล้วมารดาจำเลยซึ่งเป็นย่าของเด็กชายสุรพันธ์พาเด็กชายสุรพันธ์ไปบวชเณร ปัญหาวินิจฉัยมีว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่พิเคราะห์แล้ว โจทก์มีเด็กชายสุรพันธ์เพียงคนเดียวเบิกความเป็นพยานว่า จำเลยชวนไปที่ปากคลองตลาดแล้วพาไปทิ้งไว้ ส่วนจำเลยมีนางเจิม แซ่อุย ซึ่งเป็นย่าของเด็กชายสุรพันธ์ เบิกความเป็นพยานว่ามาที่บ้านจำเลยพบเด็กชายสุรพันธ์อยู่ที่บ้านจำเลย จำเลยเล่าให้ฟังว่าได้ไปรับเด็กชายสุรพันธ์มาจากปากคลองตลาดแล้วจะให้กลับบ้านไปอยู่กับบิดามารดา แต่เด็กชายสุรพันธ์ไม่ยอมกลับจึงแนะนำให้บวชเณร บิดามารดาจะได้ไม่ดี และได้สอบถามเด็กชายสุรพันธ์เด็กชายสุรพันธ์เล่าให้ฟังว่า ไปกรุงเทพมหานครคนเดียว ไปอยู่กับจับกังที่ปากคลองตลาดแล้วจำเลยไปพบจึงรับกลับมา เหตุที่นางเจิมอ้างว่า เด็กชายสุรพันธ์เล่าให้ฟังก็มีเหตุผลเพราะนางเจิมเป็นย่าและตามคำเบิกความของนายสำรวย ยอดสม บิดาเด็กชายสุรพันธ์ก็ได้เบิกความว่า นางเจิมกับเด็กชายสุรพันธ์สนิทสนมกัน และนางเสาวคนธ์สิงธิสังข์พยานจำเลยซึ่งเป็นครูประจำชั้นของเด็กชายสุรพันธ์เบิกความว่า ปกติเด็กชายสุรพันธ์มาโรงเรียนและหายไประหว่างชั่วโมงเกินกว่า 3 ครั้ง และไม่ค่อยเข้าเรียนตามชั่วโมงเรียนเมื่อเด็กชายสุรพันธ์ไม่ได้มาโรงเรียนหลายวัน ได้สั่งให้เด็กนักเรียนที่อยู่ใกล้ ๆ กันไปบอกบิดามารดาเด็กชายสุรพันธ์บิดามารดาเด็กชายสุรพันธ์มาบอกว่า เด็กชายสุรพันธ์ได้หายไปจากบ้านพร้อมกับเงินของน้าเด็กชายสุรพันธ์ที่อยู่บนหิ้งพระก็หายไปด้วยตามคำเบิกความของนางเสาวคนธ์ ครูประจำชั้นของเด็กชายสุรพันธ์ดังกล่าวเห็นได้ว่า เด็กชายสุรพันธ์ไม่สนใจเล่าเรียนเท่าใดนักชอบหนีเที่ยวอยู่เสมอ ในวันเกิดเหตุปรากฏว่า เงินของน้าเด็กชายสุรพันธ์ก็หายไปด้วยทั้งตามคำเบิกความของเด็กชายสุรพันธ์เองยังได้ความว่าได้ฝากกระเป๋าเรียนให้น้องกลับไปบ้านก่อน แสดงว่าเด็กชายสุรพัน์ไม่ต้องการกลับบ้านเนื่องจากเหตุที่เงินของน้าหายไปด้วย และตามคำเบิกความของนางสาวสิริรัตน์ รักวาทิน พยานโจทก์ได้ความอีกว่า เด็กชายสุรพันธ์เคยถูกมารดาตีอย่างทารุณจากเหตุที่ได้กล่าวมาทำให้คำเบิกความของนางเจิมที่ว่า เด็กชายสุรพันธ์เล่าให้ฟังว่า ไปปากคลองตลาดเองคนเดียว มีน้ำหนักให้รับฟังได้นอกจากนี้จำเลยก็มีนางสาย ป้อมสถิตย์ เบิกความเป็นพยานยืนยันว่าจำเลยเคยบ่นว่าหลายหายไป พยานได้บอกว่าเคยพบ ต่อมาพยานไปซื้อของที่ปากคลองตลาดพบหลานของจำเลย เมื่อกลับมาจึงไปบอกจำเลย จำเลยก็ไปรับแต่ไม่พบกันและจำเลยไปอีกครั้งก็พบกัน จำเลยก็รับกลับมาทั้งตามพฤติการณ์เด็กชายสุรพันธ์ก็เป็นหลานจำเลย ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยจะกระทำต่อหลานเช่นที่โจทก์อ้าง การที่จำเลยรับกลับมาแล้วไม่พาไปหาบิดามารดาก็เนื่องจากเด็กชายสุรพันธ์กลัวถูกทำโทษไม่ยอมกลับไป จนนางเจิมต้องนำไปบวชเณรเพื่อไม่ให้ถูกบิดามารดาทำโทษ แล้วจึงได้ให้นางสาวสิริรัตน์ รักวาทิน ไปบอกให้ผู้เสียหายไปรับกลับ การที่จำเลยรับเด็กชายสุรพันธ์มาแล้วไม่ส่งไปให้บิดามารดาจึงไม่เป็นข้อพิรุธแต่อย่างใด พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ รับฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.