แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้คืน จำเลยไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้ ต่อสู้แต่ว่ากู้เพียง 3,000 บาท ที่เขียนสัญญาเป็น 3,200 บาท โดยโจทก์คิดเอาดอกเบี้ยรวมเข้าไปด้วย แต่ในชั้นฎีกาจำเลยกลับฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้มอบทรัพย์สินที่กู้ยืม สัญญากู้จึงเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามตามกฎหมาย ฯลฯ เป็นโมฆะ เป็นฎีกาที่จำเลยตั้งข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ให้เข้าข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ชำระเงินกู้ ๓,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า กู้เพียง ๓,๐๐๐ บาท ส่วนอีก ๒๐๐ บาทโจทก์คิดดอกเบี้ยรวมเข้าด้วย และฟ้องแย้งว่าโจทก์ค้างชำระค่าจ้างปลูกเรือนแก่จำเลยเป็นเงิน ๔,๕๐๐ บาท ขอให้ศาลหักเงินที่จำเลยกู้โจทก์ไป ๓,๐๐๐ บาท และขอให้บังคับโจทก์ใช้เงินค่าจ้างแก่จำเลยอีก ๑,๕๐๐ บาท
โจทก์ให้การว่าไม่เคยว่าจ้างจำเลยปลูกเรือน ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินโจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ย และยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลสั่งรับเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำให้การฟ้องแย้งของจำเลย จำเลยไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้ จำเลยให้การว่าได้กู้เพียง ๓,๐๐๐ บาท ที่เขียนสัญญาเป็น ๓,๒๐๐ บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยรวมเข้าไปด้วยในชั้นฎีกาจำเลยกลับฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้มอบทรัพย์สินที่กู้ยืม สัญญากู้จึงเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามตามกฎหมาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมของประชาชน เป็นโมฆะ เป็นฎีกาที่จำเลยตั้งข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ให้เข้าข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๔๘ ไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลย.