แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 5 ถึงที่ 10 อีกฝ่ายหนึ่งต่างมีสาตราวุธ วิวาทต่อสู้กันในถนนหลวง และในการวิวาทต่อสู้กันนี้ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้สมคบกันทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 5 ที่ 6 ถึงบาดเจ็บและจำเลยที่ 5 ถึงที่ 10 ได้สมคบกันทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 ที่ 2 ถึงบาดเจ็บ ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 254,335(6) ดังนี้ฟ้องในตอนหลังที่กล่าวหาว่าทำร้ายร่างกายนั้น มิได้บรรยายรายละเอียดว่าคนไหนทำคนไหนให้ชัดแจ้ง ย่อมถือได้เพียงว่าจำเลยวิวาทกันถึงแก่มีบาดเจ็บเท่านั้น ศาลจะลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา 254 ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ กับนายเล็ก ซึ่งยังไม่ได้ตัวรวม ๕ คน ฝ่ายหนึ่ง กับนายเชิกจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๑๐ และนายกลับรวม ๗ คนอีกฝ่ายหนึ่ง ต่างมีสาตราวุธวิวาทต่อสู้กันในถนนหลวง และในการวิวาทต่อสู้กันนี้ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ และนายเล็ก ได้สมคบกันทำร้ายร่างกายจำเลยที่ ๕ ที่ ๖ ถึงบาดเจ็บ และจำเลยที่ ๕ ถึงที่ ๑๐ และนายกลับได้สมคบกันทำร้ายร่างกายนายหล่อจำเลยที่ ๑ นายจ้อนจำเลยที่ ๒ ถึงบาดเจ็บ ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๓๓๕ ข้อ ๖ มาตรา ๒๕๔ ,๖๓
จำเลยทุกคนให้การรับสารภาพ และว่าเป็นญาติพี่น้องกันทั้งสิ้น เสพสุราเมาจึงได้เกิดวิวาทกันขึ้น
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เป็นเรื่องวิวาททำร้ายซึ่งกันและกัน พิพากษาว่าจำเลยทุกคนผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๓๓๕(๖)
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๒๕๔
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้โจทก์จะได้กล่าวข้อความในฟ้องแยกออกเป็น ๒ ตอนก็จริง แต่ฟ้องในตอนหลังที่กล่าวหาถึงการทำร้ายร่างกายกันนั้น โจทก์ก็เป็นแต่กล่าวรวมมาทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ มิได้บรรยายให้รายละเอียดว่าคนไหนทำคนไหน ให้ชัดแจ้ง จึงมิใช่การบรรยายพอสมควรจะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ไม่ต้องด้วย ป.ม.วิ.อาญามาตรา ๑๕๘ รูปเรื่องโดยทั่วไปก็ถือว่าจำเลยวิวาทกันทำร้ายกันถึงแก่มีบาดเจ็บเท่านั้น ศาลจะลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายยังมิได้
จึงพิพากษายืน