คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 218/2463

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๑ เวลากลางคืน มีผู้ร้ายลักทรัพย์ของโจทย์ตามบาญชีท้ายฟ้อง รวมราคา ๕๗๐ บาท วันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๑ เจ้าพนักงานค้นบนเรือนจำเลยได้ผ้าแพร ๔ ผืน ผ้าตาผ้าริ้ว ๒ ผืนเปนของโจทย์ที่ผู้ร้ายลักไป ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๗๒๑ ฯ
จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดดังข้อหา แลแก้ว่าจำเลยซื้อผ้าของกลาง ๖ ผืนนี้จากนายเงิน นายริ้วราคา ๓ บาทแต่วันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ.๒๔๖๑ โดยจำเลยไม่รู้สึกว่าเปนของร้าย ฯ
ศาลจังหวัดสระบุรีพิจารณาคดีแล้วฟังว่า ผ้าของกลางที่เจ้าพนักงานจับได้จากจำเลยนั้นเปนของโจทย์ที่ผู้ร้ายลักไป แลจำเลยได้ซื้อผ้ารายนี้จากนายเงิน นายริ้วจริง แต่ยังไม่พอจะชี้ขาดว่าจำเลยได้รับซื้อผ้านี้ไว้โดยรู้สึกว่าเปนของร้าย จึงพิพากษาว่าจำเลยไม่มีความผิดฐานรับของโจร ให้ยกฟ้องโจทย์ปล่อยจำเลยไป ฯ
โจทย์อุทธรณ ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษเห็นว่า จำเลยมีกิริยาพิรุธควรฟังว่า จำเลยได้ผ้าของกลางนี้ไว้โดยรู้สึกว่าเปนของร้าย จึงพิพากษากลับคำพิพากษาเดิม วางบทกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๓๒๑ ฐานรับของโจร ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด ๓ เดือน ฯ
จำเลยทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกาคัดค้านในข้อเท็จจริง ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนเรื่องนี้แล้ว ได้ความชัดว่าผ้าของกลาง ๖ ผืนนั้นเปนของโจทย์ที่ผู้ร้ายลักไป ชั้นต้นโจทย์สงสันว่านายริ้ว นายเงินจะเปนผู้ร้ายลักทรัพย์ของโจทย์ เพราะในวันที่เกิดเหตุนั้นนายริ้ว นายเงินได้ไปที่บ้านโจทย์ในเวลาที่โจทย์ไม่อยู่ แลได้ทราบว่านายริ้วเปนญาติกับจำเลย เพราะเคยไปมาอยู่ที่เรือนจำเลย นายริ้วจะเอาทรัพย์ของโจทย์มาไว้ที่เรือนจำเลย โจทย์จึงไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานให้มาค้นที่เรือนจำเลยเมื่อเวลาเจ้าพนักงานมาต้น จำเลยยอมให้ค้นแต่หีบอื่น ๆ แต่หีบที่มีผ้าของกลางนี้ใส่กุญแจ จำเลยยอมให้ค้นแต่หีบอื่น ๆ แต่หีบที่มีผ้าของกลางนี้ให้กุญแจ จำเลยยอมให้ค้นแต่หีบอื่น ๆ แต่หีบที่มีผ้าของกลางนี้ใส่กุญแจ จำเลยพูดว่าลูกกุญแจหีบนั้นหายไปเสียแล้วครั้นเจ้าพนักงานจะเอาขวานผ่าหีบ จำเลยก็ไปหยิบลูกกุญแจมาไขหีบจึงพบผ้าของกลางนี้ เจ้าพนักงานได้ซักถามจำเลยถึงผ้าของกลาง ชั้นต้นจำเลยแจ้งต่อเจ้าพนักงานว่าเปนผ้าของบิดามารดาให้จำเลย ครั้นเจ้าทรัพย์จำผ้าได้แน่นอนว่าเปนผ้าของโจทย์ที่ผู้ร้ายลักไป จำเลยไม่มีทางจะแก้ตัวอย่างอื่นจึงพูดว่านายริ้ว นายเงินได้เอาผ้าของกลางนี้มาฝากจำเลยไว้ แต่เวลาเอามาฝากไม่มีใครเห็น เพราะลูกจ้างแลน้องของจำเลยไปเที่ยวป่าครั้นจำเลยมาให้การในศาลว่าจำเลยซื้อผ้าของกลางนี้จากนายริ้ว นายเงินราคา ๓ บาท แล้วอ้างนายสิงลูกจ้างของจำเลยแลนายมาน้องของจำเลยมาเปนพยานว่า จำเลยได้ซื้อผ้าของกลางนี้จากนายริ้ว นายเงินโดยเปิดเผย ฯ
ได้ความดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมีกิริยาพิรุธมาแต่แรกเมื่อเจ้าพนักงานมาค้นของบนเรือนจำเลย จำเลยไม่ยอมเปิดหีบที่มีผ้าของกลางให้เจ้าพนักงานค้น โดยกล่าวว่าลูกกุญแจหาย ครั้นเจ้าพนักงานจะเอาขวานผ่าหีบจำเลยจึงหยิบเอาลูกกุญแจมาไขหีบ เมื่อพบผ้าของกลางแล้วจำเลยไม่ได้แสดงสุจริตว่าได้ซื้อผ้าของกลางมาจากนายริ้ว นายเงิน กลับว่าเปนผ้าของบิดามารดาจำเลย ครั้นเจ้าพนักงานซักจำเลย ๆ ไม่สามารถจะแสดงความจริงว่าบิดามารดาได้ให้ผ้าของกลางแก่จำเลย กลับให้การใหม่ว่าได้รับฝากผ้าของกลางนี้มาจากนายริ้ว นายเงิน ไม่มีคนอื่นเห็นเมื่อเวลารับฝากดังนี้ จำเลยมีกิริยาพิรุธแสดงให้เห็นได้ว่า จำเลยรับผ้าของกลางนี้ไว้โดยรู้สึกแล้วว่าเปนของไม่บริสุทธิ ถึงแม้จำเลยจะมาให้การแก้ตัวขึ้นใหม่อีก แลมีพยานมาสืบว่าจำเลยได้ซื้อผ้าของกลางนี้โดยเปิดเผยก็ดี ก็ไม่ควรฟังเปนความจริงดังข้อต่อสู้ของจำเลย ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษพิพากษาลงโทษจำเลยฐานรับของโจรนั้นชอบแล้ว ให้ยกฎีกาของจำเลยเสีย ฯ

Share